ตอนจบ
วันเวลานั้นเหมือนสายน้ำ
เมื่อไหลผ่านไปแล้วไม่สามารถไหลย้อนกลับมาได้
เวลาสำหรับความรักมักไม่หยุดรอคอยใครมันไหลผ่านไปเหมือนสายน้ำ
และกว่าเราจะรู้สึกตัวสายน้ำนั้นก็ไหลผ่านตัวเราไปแล้ว สายลมเย็นพัดผ่านมากระทบผิวน้ำให้กระเพื่อม
จนทำให้มองเห็นเงาสะท้อนของดวงจันทร์ที่อยู่ในน้ำเคลื่อนที่ มันเหมือนเรากำลังมองดูดวงจันทร์ลอยไปลอยมา
อวัศยาในชุดเดรสสีน้ำเงินเข้ารูปยืนอยู่ท่ามกลางแสงสลัวของดวงจันทร์และแสงไฟจากริมถนน
ดวงตาเหม่อลอยเคว้งคว้าง
ท่ามกลางความสับสนของจิตใจ
อัง :
ในวันที่นทีบินไปเรียนต่ออเมริกา เขาบอกว่าจะไปพร้อมกับหนูดาว
นั่นก็แสดงให้เราเห็นว่าเรื่องของเขากับหนูดาวมันเป็นเรื่องจริง แล้วผู้หญิงที่ชื่อเคท
ทำไมถึงได้กลายมาเป็นแม่ของเด็ก คำถามนี้วนเวียนอยู่ภายในใจของหญิงสาว ซึ่งคนที่จะตอบคำถามเหล่านี้ได้คงมีเพียงชายหนุ่มเท่านั้น
เกิดอะไรขึ้นที่อเมริกากันแน่นะ
อากาศที่ค่อนข้างหนาวทำให้ร่างบางถึงกับห่อตัวยามต้องลมเย็น
ผ้าคลุมไหล่ผืนบางไม่อาจบรรเทาความหนาวเย็นในค่ำคืนนี้ไปได้ อย่างน้อยๆ
เธอก็น่าจะนำเสื้อคลุมติดตัวออกมาด้วยตอนออกจากรถ หญิงสาวคิดพร้อมกับกระชับผ้าไว้มั่น
ขณะที่อวัศยากำลังใช้ความคิดอยู่นั้นเอง
ใครบางคนก็เดินฝ่าความมืดมายืนอยู่ทางด้านหลัง เสียงฝีเท้าที่เดินเหยียบกิ่งไม้แห้งนั้นทำให้คนที่กำลังใช้ความคิดอดหวาดระแวงไม่ได้
ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะได้ทำอะไรเสียงทุ่มก็พูดขึ้น
นที :
ต้นไม้ต้นนี้แก่มากแล้วสินะ ไม่คิดว่าจะได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง น้ำเสียงของชายหนุ่มทำให้อวัศยาคลายความหวาดกลัวลงเมื่อรู้ว่าเจ้าของฝีเท้านั้นคือใคร
อัง :
นั่นสิ ไม่คิดว่าจะได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง
นที : เราคิดว่าอังลืมที่นี่แล้วซะอีก
อัง :
จะลืมได้ยังไงกัน ที่แห่งนี้มีความทรงจำดีๆ ตั้งมากมาย
นที : ความทรงจำ ชายหนุ่มทวนคำหญิงสาวเบาๆ
“ สิบปีแล้วสินะ เวลามันเดินช้ามากเหลือเกินกว่าจะมาถึงวันนี้
สำหรับคนที่มีความสุขเขาคงจะบอกว่าเวลาผ่านไปเร็ว แต่สำหรับคนที่มีความทุกข์เขาก็จะบอกว่าช้า
แล้วอังล่ะ สิบปีสำหรับอังมันช้าหรือเร็ว”
อัง : สำหรับอังมันเป็นสิบปีแห่งฝันร้าย
นที :
เราเสียใจด้วยนะเรื่องคุณพ่อ
และก็ขอโทษที่ไม่ได้กลับมาร่วมงานท่านด้วย
อัง :
เราทำใจได้แล้วล่ะ นทีไม่ต้องขอโทษหรอก
นที : แต่ถึงยังไงเราก็เสียใจเราน่าจะกลับมาไวกว่านี้
อย่างน้อยๆ ก็จะได้มากราบท่านเป็นครั้งสุดท้าย
น้ำเสียงของชายหนุ่มนั้นมีแววของความเสียใจ
อัง : คุณพ่อคงไม่โทษว่าเป็นความผิดของนทีหรอก
และถึงนทีอยู่ที่นั้นด้วยในวันนั้นคุณพ่อก็คง…
เมื่อเห็นสีหน้าของหญิงสาวหมองลง ชายหนุ่มจึงเอื้อมมือไปแตะเบาๆ บนไหล่ของหญิงสาว
เพื่อเป็นการปลอบ
นที :
เราไม่น่าพูดให้อังคิดมากอีกเลย ขอโทษอีกครั้งนะ
ชายหนุ่มพูดพร้อมกับถอดเสื้อคลุมตัวยาวที่ตนใส่ออกสวมทับบนไหล่ให้หญิงสาวคลายจากความหนาว
“ ข้างนอกอากาศหนาวอังควรจะสวมเสื้อคลุมไว้บ้าง”
อัง : แล้วนทีไม่หนาวเหรอเอาเสื้อมาให้เราใส่แบบนี้
นที : ไม่หนาวหรอก อากาศที่อเมริกาหนาวยิ่งกว่านี้อีก
อัง :
จริงสิ เราก็ลืมไปว่านทีไปเรียนอยู่เมืองนอกเสียหลายปี คงจะคุ้นเคยกับอากาศที่โน่น
นที : จะว่าชินก็คงจะใช่แต่กว่าจะทำให้ร่างกายคุ้นเคยกับที่โน่นได้ก็ใช้เวลาพอสมควร
ทั้งเรื่องเวลา อากาศ และที่สำคัญเรื่องอาหาร
เราไม่ค่อยชอบอาหารฝรั่งเท่าไหร่เวลาทานแล้วมันแหยะๆ เลี่ยนๆ ยังไงก็ไม่รู้
อัง :
จริงสินะ นทีนะไม่ชอบอาหารฝรั่งตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วนิ คนฟังถึงกับหัวใจเต้นแรงเมื่อได้ยินประโยคที่หญิงสาวพูดเมื่อตะกี้
นที : อังยังจำได้ด้วยเหรอว่าเราไม่ชอบอาหารฝรั่ง
อัง : ก็…เออ….
นที : อังมีเรื่องอะไรอยากพูดกับเราหรือเปล่า
ใบหน้าหวานมีแววตกใจเมื่อถูกชายหนุ่มถาม “อยากรู้เรื่องอะไรก็ถามเรามาเถอะ
อย่าให้เราสองคนมีเรื่องคาใจเหมือนเมื่อสิบปีก่อนเลย”
พอได้ยินชายหนุ่มพูดออกมาตรงๆ อวัศยาก็มีใบหน้าเผือดลงที่ถูกจับความรู้สึกได้
อัง : ก็ถูกของนที เรามีเรื่องที่อยากถามนทีหลายเรื่องแต่ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มที่ตรงไหน
ทุกอย่างมันสับสนไปหมด
นที : ถึงได้กลับมาที่จุดเริ่มต้นสินะ
ทุกคำที่เขาพูดออกมานั้นเป็นความจริงทุกอย่าง
อวัศยามีเรื่องมากมายที่อยากจะถามเขา แต่พอได้พบเขาแล้วเธอกลับไม่รู้จะเริ่มถามเรื่องไหน
ทำไมโชคชะตาถึงได้เล่นตลกกับมนุษย์ที่อ่อนแอเช่นเธอด้วยนะ
อัง : ใช่แล้วล่ะ ในตอนแรกที่คิดไว้ถ้าได้เจอนทีที่นี่จริงเราก็อยากจะเอ่ยขอโทษ
และอยากถามเรื่องที่ค้างคาใจเมื่อสิบปีก่อน แต่พอรู้เรื่องลูกของนทีมันก็ทำให้เราเกิดความรู้สึกลังเล
จนในที่สุดก็เลยคิดว่าปล่อยให้มันเป็นอดีตไปดีกว่า
นที
: ถ้าทำแบบนั้นแล้วอังจะมีความสุขหรือเปล่า
ปล่อยให้เรื่องจบโดยที่ตัวเองยังมีเรื่องคาใจมันก็ไม่ต่างจากเมื่อสิบปีก่อนอยู่ดี
อัง : ไม่หรอก เรื่องนี้ต่างจากสิบปีที่แล้ว
นที : ที่บอกว่าต่างคงเป็นเพราะเรื่องที่เรามีลูกแล้วน่ะสินะ
อัง : ใช่..นทีกำลังมีความสุขกับชีวิตครอบครัวที่ดี เราเลยไม่อยากรื้อฟื้นเรื่องราวเก่าๆ
ขึ้นมาอีก
นที : อย่าคิดแบบนั้นสิอัง สำหรับเราแล้วอังเป็นเหมือนครอบครัวของเราคนหนึ่งนะ
อัง : แต่…ถึงจะพูดแบบนั้นก็ทีเถอะ
เรื่องบางเรื่องไม่พูดจะดีกว่าไม่ใช่เหรอ
นที
: อังก็เป็นแบบนี้แหละ
เห็นความสุขของคนอื่นสำคัญกว่าความสุขของตัวเองเสมอ เราคิดไม่ผิดจริงๆ ที่เลือกอังมาเป็นแรงบันดาลใจ
ถึงแม้ว่าตนเองจะต้องเสียใจ แต่ก็ยังยอมเสียสละความสุขของตนเองให้คนอื่น
เรื่องระหว่างเรากับหนูดาวมันไม่ได้เป็นอย่างที่อังคิดหรอก แล้วเรื่องที่เราไปนอนค้างบ้านหนูดาวนั้นมันก็ไม่ได้เป็นเรื่องจริง
วันนั้นเราได้เจอกับหนูดาวที่ป้ายรถเมล์
และเป็นคนไปส่งหนูดาวที่บ้านก่อนจะไปเจอรุ่นพี่ที่นัดและค้างด้วยกันที่นั่น
หนูดาวเขารู้เรื่องนี้แต่เราก็ไม่คิดว่าเขาจะเอาไปพูดแบบนั้นจนทำให้อังเข้าใจผิดและกลายเป็นเรื่องบานปลายจนทำให้เราสองคนต้องห่างเหินกัน
อัง
: แต่วันนั้นนทีก็บอกเองว่าจะไปพร้อมกันกับหนูดาว
นที
: ไม่คิดว่าการมีน้ำใจต่อคนอื่นจะเป็นเรื่องผูกมัดตัวเองไว้
นั่นยิ่งทำให้อังเข้าใจผิดมากขึ้น เรื่องที่เราบินไปอเมริกาพร้อมหนูดาวนั้น
หนูดาวเป็นคนขอให้เราบินไปพร้อมกัน
เหตุผลเพราะหนูดาวไม่เคยบินไปต่างประเทศคนเดียวและเราก็ไม่เห็นว่าจะเสียหายตรงไหน ถึงยังไงเราก็ต้องบินไปอเมริกาอยู่ดี
จึงตัดสินใจบินไปพร้อมกันกับหนูดาว แต่พอไปถึงที่โน่นเราสองคนก็แยกจากกัน
อัง
: เรื่องทั้งหมดเราเป็นคนเข้าใจผิดเองอย่างนั้นเหรอ
นที
: ไม่หรอก
ไม่ใช่ความผิดของอังแต่เป็นความผิดของเราเองต่างหาก
ถ้าในตอนนั้นเราบอกความรู้สึกของตัวเองให้กับอังรู้
เรื่องเข้าใจผิดแบบนั้นก็คงจะไม่เกิดขึ้น
อัง
:
ความรู้สึกที่แท้จริงอย่างนั้นเหรอ หมายความว่า…
นที
:
ความรู้สึกที่เรามีต่ออังยังไงล่ะ เราชอบอัง ทีแรกเราคิดว่าอังรู้แล้วซะอีกถึงได้ทำเป็นหมางเมินกับเรา
แต่เราก็เข้าใจผิด สาเหตุที่อังหมางเมินกับเราเป็นเพราะเรื่องหนูดาวต่างหาง แต่เราก็ดันโง่จนเซ่อถึงไม่รู้
เราขอโทษนะที่ทำให้อังเสียใจในวันนั้น
อัง
: เรื่องทุกอย่างเป็นแบบนี้สินะ
เราเองก็ผิดด้วยเช่นกันที่ไม่ยอมเชื่อใจนที เพราะความทะนงตนมากไปไม่ยอมเอ่ยถามทั้งที่สงสัย
สุดท้ายความรู้สึกผิดที่มีภายในใจก็ทำให้ตนเองต้องเป็นทุกข์ ขอโทษนะนที
นที
: อย่าขอโทษอีกเลย เราไม่โกรธอังแล้วล่ะ
เรื่องมันผ่านมาสิบปีแล้วอังก็อย่าเก็บมาเป็นทุกข์อีกเลย
อัง
: ได้ขอโทษนทีแล้วเราก็รู้สึกดีขึ้น
ยิ่งพอรู้ว่านทีมีครอบครัวที่น่ารักเราก็ยิ่งดีใจด้วย อย่างน้อยๆ นทีก็ได้เจอคนที่ดีคนที่เข้าใจนทีมากกว่าอัง…คำว่าอังหญิงสาวพูดได้เพียงแค่ในใจเท่านั้น
เธอไม่อยากพูดให้ชายหนุ่มรู้สึกทุกข์ใจอีก สิบปีที่ผ่านมาเรื่องของเธอทำให้ชายหนุ่มรู้สึกสึกผิดนานพอแล้ว
คงถึงเวลาที่ต้องเก็บความทรงจำเหล่านั้นเข้ากล่องแล้ว หญิงสาวคิดขณะที่สายตาเหม่อมองไปบนท้องฟ้า
ถึงแม้ในคืนนี้จะมองไม่เห็นดวงดาวเพราะแสงของดวงจันทร์กลบไปหมด
แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีดวงดาวในคืนนี้
อัง
: แล้วนทีจะกลับไปอเมริกาอีกเมื่อไหร่หรือว่าจะกลับมาอยู่เมืองไทยถาวรเลย
นที
: เราคงไม่กลับไปอยู่อเมริกาหรอกแต่ถ้าไปเที่ยวอาจจะมีบินไปบ้าง
เพราะพ่อกับแม่ของเคทอยู่ที่นั่นที่เรากลับมาเมืองไทยครั้งนี้ก็เพื่อมาดูแลบริษัทแทนคุณพ่อที่อายุเยอะมากแล้ว
อีกอย่างเคทก็อยากมาอยู่เมืองไทยเธออยากจะให้ลูกๆ
ถูกเลี้ยงแบบคนไทยมากกว่าเด็กฝรั่ง
อัง
: อย่างนั้นเหรอ
นที
: เราเข้าไปในงานกันดีกว่า ป่านนี้เพื่อนๆ คงรอกันแล้วล่ะ
อัง
: นทีเข้าไปก่อนเถอะ
เราขอไปเอาเสื้อคลุมที่รถก่อนแล้วเดี๋ยวจะตามเข้าไป
นที :
เอาอย่างนั้นเหรอ ถ้าอย่างนั้นก็ได้แล้วรีบตามมาล่ะ
มาช้าระวังจะโดนนรินกับกุ้งแห้งดุเอานะ
อัง : รู้แล้วล่ะน่า เราไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะที่จะต้องกลัวผู้ใหญ่ดุน่ะ
นที : สำหรับเราแล้วอังยังเป็นอังเมื่อสิบปีก่อนไม่ต่างกันเลย
อัง : เราจะถือว่าเป็นคำชมที่นทีชมเราว่าหน้าเด็กแล้วกันนะ
นที :
จ้า…เอาที่สบายใจล่ะกัน
ชายหนุ่มพูดพร้อมกับยิ้มแห้งๆ แต่เมื่อเห็นหญิงสาวกำลังถอดเสื้อคลุมออกก็อดแปลกใจไม่ได้
อัง : เรารู้สึกว่าอากาศมันอุ่นขึ้นกว่าตอนแรกแล้ว หญิงสาวพูดพร้อมกับยื่นเสื้อคลุมส่งให้ชายหนุ่ม
“ เราไม่จำเป็นต้องใช้เสื้อของนทีแล้วล่ะ ”
นที :
อย่างนั้นเหรอ…มือหนายื่นไปรับเสื้อคลุมจากหญิงสาวที่ยื่นมาให้พร้อมกับพูด
“ เราอยากเห็นอังมีความสุขมากกว่านี้ อย่าให้อดีตมาทำให้อนาคตของอังต้องมืดสลัวอีกเลยนะ
”
อัง : เข้าใจแล้วล่ะ นทีก็ไม่ต้องกังวลอีกแล้วนะ เราไม่มีทางให้อดีตมาทำร้ายตัวเองหรอก
ถึงแม้จะพูดแบบนั้นแต่หัวใจก็รู้สึกแปลบขึ้นมา
การพบกันในครั้งนี้มีทั้งความสุข
ความเศร้า ปนความสมหวังของอีกหลายคน แต่เสียงแห่งความสุขนั้นมีมากกว่าความเศร้าหลายเท่านัก
บทเรียนที่หญิงสาวได้จากความผิดพลาดในครั้งนี้ สอนให้เธอได้รู้ว่า ความรู้สึกก็มีวันหมดอายุ
เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วเราปล่อยให้มันผ่านไปโดยที่ไม่ได้พูด สุดท้ายความรู้สึกนั้นมันก็จะไม่เหมือนเดิม
งานเลี้ยงยังไงก็ต้องเลิกรา เราพบเจอกันในวันนี้ก็เพื่อจาก
แต่ใครจะรู้ว่าอนาคตข้างหน้าเราจะกลับมาเจอกันอีกตอนไหน นั้นเป็นเรื่องยากที่จะเดา
แต่มิตรภาพ สายใยแห่งความรัก กลับไม่มีวันจางหาย ไม่มีใครมาทำลายสายใยเส้นบางๆ
นี้ได้ เรื่องราวของหญิงสาวและชายหนุ่มยังคงมีอยู่ ไม่ได้ถูกลบเลือนไปจากกาลเวลา
เขาและเธอยังคงเก็บความทรงจำเหล่านั้นไว้อย่างหวงแหน ราวกับว่ามันเป็นของขวัญที่ล้ำค่าพิเศษสุด
ถ้าหากปาฏิหาริย์มีจริง คำอธิฐานที่เธอก็คงจะเป็นจริงในสักวัน
The
End
ฟารีดา