วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2558

เธอคือแรงบันดาลใจ ตอนที่ 2

ตอนที่ 2

นที : อัง อัง รอด้วย  ชายหนุ่มร้องตะโกนเรียกหญิงสาวที่กำลังเดินจ้ำอ้าวไปรอขึ้นรถยังป้ายรถเมล์ ขณะที่ตนกำลังใส่รองเท้านักเรียนอยู่หน้าห้องบันไดทางลงอาคาร

            อัง : ถ้ารอทีอังก็ไม่ทันรถน่ะสิ

            นที : ไปคันหลังก็ได้ ทำยังกับรถเมล์มีคันเดียว  ชายหนุ่มวิ่งมาทันหญิงสาวอยู่หน้าประตูโรงเรียน พร้อมกับเสียงหอบหายใจแรงๆ

            อัง : ถึงจะมีหลายคันแต่กว่ารถจะวิ่งมามันใช้เวลานาน อังไม่อยากยืนรอจนขาแข็ง

            นที : ไม่นานหรอก เชื่อทีสิ (เฮ้ยเหนื่อย) แต่ถ้านานจริงๆ เราสองคนเดินกลับก็ได้แค่ตรงหัวมุมเอง
            อัง : ไม่เอาหรอก เดินกลับมีหวังอังได้น่องใหญ่พอดี

            นที : (หึ หึ) ที่แท้ก็กลัวขาใหญ่ไม่ต้องห่วงหรอก เพราะยังไงมันก็ใหญ่อยู่ดี หูก็กาง ขาก็สั้น ตัวก็เตี้ย เอกลักษณ์ของอังเลยล่ะ นี่ยังไม่พูดถึงตัวกลมอีกนะ

            อัง : นี่ทีว่าอังเหรอ

            นที : ไม่ได้ว่าชมต่างหาก ใครจะกล้าว่าอังล่ะ

            อัง : ชมบ้าอะไรเขาเรียกวิจารณ์กันชัดๆ

            นที : ก็บอกไม่ได้ว่าไม่ได้วิจารณ์ด้วยแค่พูดความจริง อังเคยเห็นพวกก็อบรินหรือพวกเอวฟ์ มั้ยในหนังน่ะ พวกนั้นน่ะเหมือนอังเลย

            อัง : นี่ไงเห็นไหม  พวกนั้นน่ะน่า
เกลียดจะตาย นี่หาว่าอังน่าเกลียดเหรอ หญิงสาวพูดพร้อมกับเอามือชี้หน้าชายหนุ่ม จากนั้นก็ฟาดลงบนไหล่จนทำให้คนถูกตีต้องสะดุ้ง

            นที : ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้ว่า น่าเกลียดที่ไหน น่ารักจะตาย ยังไม่ทันได้พูดจบมือบางก็ฟาดเต็มแรงลงไปใส่แขนของชายหนุ่มจนต้องสะดุ้งร้องขึ้นมาทันที
นที : โอ้ย! เจ็บนะอัง ตีทีทำไมนิ พูดความจริงก็ว่าโกหกก็ว่า สรุปทีพูดอะไรก็ถูกอังตีอยู่ดี ถามจริงเป็นพวกชอบความรุนแรงหรือเปล่านิ

            อัง : บ้านะสิ... เออ...พูดจริงป่ะ...ที่ว่าน่ารักน่ะ

            นที : แหน่ะ...โกหกมั้ง  

            อัง : ตลอด

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ร่างบางก็ถอนหายใจยาวๆ หนึ่งครั้ง ทำไมโชคชะตาถึงได้เล่นตลกกับคนเราเสียจริงหนอ เมื่อให้เราได้พบกันแล้วทำไมต้องทำให้เราได้พลัดพรากจากกันด้วย หรือว่าสิ่งที่เธอกำลังประสบอยู่นี้ไม่ใช่เป็นเพราะโชคชะตา หากแต่เป็นเพราะเธอเองต่างหากที่ทำให้เรื่องมันเป็นแบบนี้

            กุ้ง : อัง อัง นี่รินอังอยู่ไหน

            ริน : อังไปเข้าห้องน้ำเดี๋ยวก็คงมา มีเรื่องอะไรวิ่งตาตื่นมาเชียว

            กุ้ง : เกิดเรื่องแล้วนะสิ

            ริน : เรื่องใหญ่อะไรของแกยายกุ้ง นี่ยังมีเรื่องไหนใหญ่กว่าเรื่องสอบเข้ามหาลัยอีกเหรอ

            กุ้ง : เออ...ใหญ่กว่าอีก พูดจบก็วิ่งไปหาเพื่อนที่กำลังเดินมาจากห้องน้ำทันที จนทำให้คนที่นั่งในบริเวณใกล้เคียงต่างพากันเหลียวมองด้วยความสงสัย

            กุ้ง : อัง อัง แกมานี่เลย

            อัง : อะไรกันกุ้ง ร้องเสียงตื่นเชียว

            กุ้ง : เกิดเรื่องใหญ่แล้ว

            ริน : เรื่องใหญ่อะไร มีใครเป็นอะไร

            กุ้ง :ไม่มีใครเป็นอะไร แต่

            ริน : แต่นี่ยายกุ้งรีบๆ พูดมาซะทีสิ ฉันลุ้นจนฉี่จะราดอยู่แล้ว

            กุ้ง : ก็ยายหนูดาวห้องหนึ่งนะสิ หล่อนบอกว่าเมื่อคืนนทีไปส่งหล่อนที่บ้านแถมยังนอนค้างที่บ้านของหล่อนด้วย

            ริน : เฮ้ย!... นรินอุทานเสียงดังพร้อมกับจ้องหน้าคนเล่า

อวัศยามองเพื่อนทั้งสองด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่มีแววอาการตกใจ ตื่นเต้นหรือสงสัยให้เห็นทั้งทีก่อนหน้านี้หญิงสาวรู้สึกตกใจอยู่ไม่น้อยเมื่อทราบเรื่อง อันทีจริงหญิงสาวได้ยินเรื่องนี้แล้วเมื่อตอนอยู่ในห้องน้ำ เธอได้ยินจากปากของคนที่เป็นเจ้าของเรื่องเองเสียด้วยซ้ำ

หนูดาว : นี่อังเรามีเรื่องอยากบอกเกี่ยวกับนที

                   อัง : มีเรื่องอะไรอย่างนั้นเหรอ

            หนูดาว : เราเห็นอังเป็นเพื่อนที่สนิทกับนทีมากที่สุดถึงอยากบอกให้รู้เอาไว้ เมื่อคืนนทีไปนอนค้างที่บ้านของเรา

            อัง : แล้วหนูดาวมาบอกอังทำไม

            หนูดาว : เราก็อยากให้อังได้รู้ไว้นะสิ อังจะได้คอยเตือนพวกที่ชอบคิดจะแย่งแฟนของเราว่าอย่าได้คิดมาแย่งของที่เป็นของเรา ตายจริง!...เราคงจะอินไปหน่อยถึงได้พูดน้ำเสียงจริงจังกับอัง แต่อังคงไม่คิดมากหรอกเนาะ เพราะยังไงอังก็ไม่ใช่คนที่คิดจะแย่งนทีไปจากเราอยู่แล้ว

            อัง : ก็จริงนะ...ถ้าไม่มีอะไรแล้วเราขอตัวไปทำรายงานส่งอาจารย์นะ พูดจบหญิงสาวก็เดินผละออกมาจากห้องน้ำ

            หนูดาว : เดี๋ยวอัง...อย่าลืมที่เราฝากบอกเมื่อตะกี้ล่ะ คนถูกเรียกชื่อพยักหน้าเป็นคำตอบจากนั้นก็เดินจากไปโดยไม่หันกลับไปมองคนที่ยืนยิ้มอยู่ด้านหลังด้วยความสะใจ คิดว่าจะแน่ ที่แท้ก็เป็นพวกหน้าบางอย่าได้คิดมาแข่งกับฉันซะให้อยากเลย ยังไงนทีก็ต้องเป็นแฟนฉันฝันไปเถอะ ยัยเตี้ยหูกางเอ๊ย!

กุ้ง : อัง แกไม่พูดอะไรบ้างเลยเหรอ คนถูกถามนิ่งมองหน้าคนถามกลับก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ม้าหินอ่อนตัวเดิมจากนั้นก็ก้มหน้าเขียนรายงานที่อาจารย์เพิ่งสั่งเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมาต่อ

ทำไมเธอจะไม่รู้สึกหัวใจมันหล่นวูบลงไปอยู่แทบเท้าเมื่อได้ยินประโยคเหล่านั้น มือที่จับผ้าเช็ดหน้าออกอาการสั่นแข้งขาเธอแทบอ่อนแรง แต่ก็ยังคงเก็บความรู้สักได้ดีไม่ยอมให้ใครได้รู้ถึงความเสียใจ

            อัง : จะให้พูดอะไรล่ะ มันเรื่องของเขาสองคนไม่เกี่ยวกับเราสักหน่อย

            กุ้ง : แต่นทีเขาเป็นคน

            อัง : นทีเขาเป็นแฟนหนูดาว และก็ยังเป็นเพื่อนที่พวกเราสนิทถ้าจะให้พูดก็คงต้องบอกว่ายินดีกับพวกเขาทั้งคู่ ประโยคที่หญิงสาวพูดออกไปมันเหมือนเป็นการตอกย้ำให้เพื่อนทั้งสองคนเข้าใจว่าและตอกย้ำความรู้สึกเจ็บให้แล่นผ่านเข้าไปแก่นกลางระหว่างดวงใจของหญิงสาว

            กุ้ง : โอเค เพื่อนก็เพื่อนแล้วอังไม่สงสัยหรือว่าเรื่องมันเกิดขึ้นได้ยังไง ทำไมนทีถึงได้ไปนอนบ้านของยายดาว

ริน : แต่ช่วงหลังๆ มานี้ นทีก็ไม่ได้กลับบ้านพร้อมอังแถมยังหลบหน้าหลบตาพวกเราด้วย หรือว่าเรื่องที่ยัยนั่นเล่าจะเป็นเรื่องจริง  กัลยาหยิกแขนนรินเบาๆ จนคนถูกหยิกต้องร้องโอ้ยและมองหน้าคนหยิก แต่เมื่อเห็นสายตาที่สื่อมาก็รู้ความหมายทันที

            ริน : ไม่ต้องสงสัยหรอก ข่าวมั่วชัวร์ ยัยนั่นคงแต่งเรื่องขึ้นเอง

            กุ้ง : ถ้าแต่งเรื่องขึ้นมาจริง ยัยนั่นต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ ที่แต่งเรื่องให้ตัวเองเสียชื่อเสียง

            ริน : แต่บางทีชื่อเสียงยัยนั้นก็ไม่มีอะไรให้เสียแล้วนะ  สงสัยคงจะงัดไม้ตายไม้สุดท้ายแล้วก็ได้  ไม่เพียงน้ำเสียงของคนพูดที่ตื่นเต้น แต่ท่าทางแระกอบคำพูดนั้นยังทำให้คนฟังถึงกับอดขำไม่ได้

            กุ้ง : นี่ฉันว่าแกแค่พูดก็พอ ไม่ต้องมีท่าทางประกอบหรอก ฉันขำว่ะ

            ริน : แกก็ชอบขัดฉันซะจริงกุ้ง

            อัง : เอาล่ะ!  หญิงสาวลุกขึ้นพร้อมกับเก็บหนังสือใส่กระเป๋า

            ริน : เฮ้ย! อังจะไปไหนน่ะ

            อัง : เธอสองคนไม่ได้ยินเสียงออดดังบอกเวลาเลิกเรียนเหรอ

            กุ้ง : แต่เราสองคนยังคุยกันไม่จบเรื่องเลยนะ

            อัง : ก็ไม่เห็นมีอะไรนิ ฉันว่าเธอสองคนเอาเวลาที่เม้าท์เรื่องของคนอื่น มาทำรายงานส่งอาจารย์จะมีประโยชน์กว่า อีกอย่างฉันต้องกลับไปอ่านหนังสือเตรียมสอบปลายภาค ไหนจะต้องท่องหนังสือสอบเอ็นทรานอีก ถ้าพวกเธออยากคุยกันต่อก็คุยกันสองคนแล้วกัน ฉันกลับก่อนล่ะ บายแล้วเจอกันวันจันทร์   
        
            กุ้ง : เฮ้ย!...เดี๋ยวอังรอเราด้วย  คนพูดร้องบอกเพื่อนสาวที่เดินจากไปพร้อมกับเก็บสมุดหนังสือใส่กระเป๋า

            กุ้ง :  นี่ริน แกกับฉันเดี๋ยวเราค่อยมาคุยกันต่อวันจันทร์นะ วันนี้ฉันกลับล่ะ  พูดจบก็วิ่งตามหลังคนที่กำลังเดินไปก่อนทันที

            ริน : อ้าว! เฮ้ย! ไหงเป็นงั้นล่ะ  คนพูดน้ำเสียงเหมือนถูกขัดใจแต่ก็ยอมรับปากแต่โดยดี
หากนี่คือความฝัน มันก็คงเป็นฝันที่เธออยากลบออกไปจากความจำ แต่ถ้านี่คือความจริง มันคงเป็นสิ่งที่เธอหลีกหนีไม่ได้ เธอไม่อยากรับรู้ความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ อวัศยาคิดระหว่างเดินลงรถ อันที่จริงเธอคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มาตลอดตั้งแต่เดินออกจากโรงเรียนจนขึ้นนั่งบนรถเมล์ หญิงสาวเกือบจะนั่งเลยป้ายไปแล้วด้วยซ้ำ ถ้าไม่เจอพี่คนหนึ่งที่อยู่ซอยเดียวกันสะกิด ทำไมเรื่องนี้ถึงได้มีอิทธิพลต่อความคิดของเธอมากเพียงนี้นะ

            อัง : ป้าค่ะแป๊บซี่แก้วหนึ่งค่ะ

            ป้า : ได้สิจ๊ะ แต่หนูอังรอหน่อยนะ ป้าติดลูกค้าอยู่สามคน แม่ค้าร่างอ้วนตอบกลับพร้อมส่งยิ้มให้หญิงสาว

            อัง : ไม่เป็นไรค่ะ หนูรอได้

            ป้า : หนูอังเพิ่งเลิกเรียนเหรอ วันนี้กลับเร็วกว่าทุกวันนะ

            อัง : พอดีวันนี้หนูไม่มีติวหนังสือกับเพื่อนน่ะค่ะ เดี๋ยวหนูตักน้ำแข็งใส่แก้วให้นะคะ

            ป้า : จ๊ะ ขอบใจนะ แล้ววันนี้นทีไม่กลับมาพร้อมกันเหรอเห็นทุกทีเดินตามหนูอังต้อยๆ  ยังไม่ทันที่คนถูกถามจะตอบคำถาม เสียงคุ้นหูก็เอ่ยขึ้นขัดจังหวะการสนทนาของคนทั้งคู่

            นที : ป้าครับ แป๊บซี่แก้วหนึ่งครับ

            ป้า : อ้าวนที!  

นที : ทำหน้าตกใจแบบนี้แสดงว่าแอบนินทาผมใช่มั้ยเนี่ย

ป้า : ไม่ได้นินทา ตะกี้ยังถามหนูอังอยู่เลยว่าไม่ได้กลับมาพร้อมกันเหรอ

            นที : พอดีผมกลับมาพร้อม ชายหนุ่มเว้นวรรคคำพูดนิดหนึ่งแล้วก็มองหน้าหญิงสาวที่ยืนหน้าบึ้งตักน้ำแข็งใส่แก้ว เพื่อนที่ชมรมน่ะครับ

            ป้า : อืมเดี๋ยวนทีรอแป๊บนะป้าติดลูกค้าสามคน

            นที : ได้สิครับ สำหรับป้าให้รอนานแค่ไหนผมก็ยินดีรอ

            ป้า : แหม่! พูดแบบนี้สาวๆ ถึงได้ติดกันทั้งซอย

            นที : โถ่ป้าก็พูดเกินไปไม่มีหรอกครับ คนที่อยากให้มองเขาก็ไม่มอง สงสัยคงจะไม่ใช่เสปคเขา

ชายหนุ่มพูดสายตาก็ชำเลืองมองหญิงสาวอีกครั้ง สีหน้าของเธอยังคงนิ่งและไม่มีแววว่าจะมองเขาด้วยซ้ำ ทำไมวันนี้ถึงเงียบผิดปกติ ทุกทีจะพูดเป็นต่อยหอยหรือไม่ก็หาเรื่องบ่นให้ตนตลอด แต่วันนี้หญิงสาวเปลี่ยนไปสายตาก็ไม่เหมือนเดิม  หรือว่าเธอจะรู้เรื่องของเขาแล้วถึงได้ทำตัวห่างเหินออกไป ชายหนุ่มคิดขณะมองหน้าหญิงสาว

            ป้า : มีคนแบบนั้นอยู่ด้วยเหรอในซอยเรา

            นที : มีสิครับป้า นทีละสายตาจากหญิงสาวหันมาตอบคนที่กำลังเอ่ยถาม

            ป้า : ป้าชักอยากเห็นหน้าแล้วซิ

            นที : ไม่ใกล้ไม่ไกลหรอกครับ ดีไม่ดีป้าอาจจะเคยเห็นแล้วก็ได้

            ป้า : คราวหลังถ้าเดินผ่านก็สะกิดป้าหน่อยนะ ป้าจะได้รู้

            นที : ได้สิครับ ถ้าผมเจอเธอคนนั้นแล้วผมจะขยิบตาขวาให้ป้านะครับ ชายหนุ่มพูดจบก็ขยิบตาขวาพร้อมกับยิ้มให้กับแม่ค้าร่างอ้วน

            ป้า : แบบนี้เลยหรือ ได้ๆ ป้าจะได้รู้ หนูอังก็ไม่รู้เหมือนกันเหรอ ผู้หญิงคนนั้น

            อัง : ไม่ค่ะ หนูไม่ได้สนใจ

            ป้า : เอ๊า! เป็นงั้นไปนี่จ๊ะแป๊บซี่ที่หนูสั่ง ส่วนนี่ของนที

            อัง : นี่ตังค์ค่ะป้า หนูไปนะคะ

            ป้า : จ๊ะ ขอบใจนะที่มาอุดหนุนป้า

            นที : นี่ตังค์ค่าแป๊บซี่ผมครับ ผมไปนะป้าแล้ววันหลังผมจะมาอุดหนุนอีก  ชายหนุ่มพูดแล้วก็เดินแกมวิ่งตามหญิงสาวไป 

ป้า : เฮ้ย! หนุ่มสาวสมัยนี้มันเดาความรู้สึกยากจริงๆ

นที : อัง รอด้วยสิจะรีบเดินไปไหน

อัง : ทำไมต้องรอ ขาเราสองคนไม่ได้ผู้ติดกันสักหน่อย

นที : โถ่..อัง โกรธทีเรื่องอะไรอีกล่ะ คนฟังหยุดกะทันหันเมื่อได้ยินคำพูดของชายหนุ่มที่วิ่งตามหลังมา

            นที : เฮ้ย! คนวิ่งมาเบรกกะทันหันเมื่อเห็นคนข้างหน้าหยุดจนเกือบทำให้ตนชนเข้ากับร่างบาง จะหยุดทำไมไม่บอก เห็นไหมทีเกือบชนอังแล้ว

            อัง : ทีตามอังทำไม บ้านเราสองคนอยู่คนล่ะซอยไม่ใช่เหรอ

            นที : ก็ทีอยากเดินลัดซอยนี้และก็ไปเลี้ยวแยกหน้าไง  หญิงสาวถอนหายใจยาวๆ เมื่อได้ฟังคำตอบจากนั้นก็เดินลิ่วต่อไปอีก

นที :  เดี๋ยวอัง ทีมีเรื่องอยากคุยด้วย วันนี้ไม่ได้คุยกันทั้งวันเลย

            อัง : เอาไว้วันหลังแล้วกันวันนี้อังไม่มีอารมณ์

            นที : คุยกันต้องมีอารมณ์ด้วยเหรอ นัดใครไว้ล่ะสิ ถึงไม่มีแม้แต่เวลาจะคุย น้ำเสียงของชายหนุ่มยังคงมีแววหยอกล้อเพราะหวังว่าคำพูดของตนจะทำให้คนฟังอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง จากที่หน้าบึ้งจะได้หายบึ้งจากที่หงุดหงิดจะได้ยิ้มแย้ม ขอแค่เห็นหญิงสาวยิ้มให้กับตน แค่นี้ชายหนุ่มก็ดีใจยิ่งกว่าได้สร้อยทองคล้องคอเสียอีก

นที : ใช่ซิ!ทีไม่สำคัญอยู่แล้วนิ หญิงสาวหยุดเดินหันมามองหน้าคนเดินตามหลัง เป็นอีกครั้งที่ร่างสูงเกือบชนร่างบางจนทำให้แป๊บซี่ที่ถืออยู่ในมือกระเพื่อมหกลงโดนเสื้อตนเอง

อัง : ใครกันแน่ที่สมควรจะพูดคำนี้ น้ำเสียที่พูดใส่ชายหนุ่มนั้นมีความโกรธปนความน้อยใจ เมื่อนึกขึ้นได้ว่าตนเองไม่ควรพูดคำพูดเหล่านั้น ก็รีบเอ่ยขอโทษออกไป

            นที : ขอโทษ

            อัง : ไม่ต้องขอโทษหรอก ทีไม่ได้ทำอะไรผิด หญิงสาวปรับอารมณ์ให้เป็นปกติก่อนที่จะเอ่ยตอบชายหนุ่มออกไป

            นที : ผิดสิ ทีไม่ควรพูดแบบนั้น เพราะไม่มีสิทธิ์ ชายหนุ่มพูดได้แค่ประโยคแรกประโยคที่สองนั้นทำได้แค่พูดภายในใจ

            อัง : ทีมีอะไรก็พูดมาสิ อังรอฟังอยู่

            นที : คือไม่มีอะไรหรอก วันนี้อังคงไม่มีอารมณ์จริงๆ เอาไว้วันหลังทีค่อยพูดก็ได้มันไม่ได้สำคัญอะไรหรอก อังก็เดินกลับบ้านดีๆ ล่ะ  พูดจบชายหนุ่มก็หันหลังเดินจากไปปล่อยหญิงสาวให้ยืนคว้าอยู่ท่ามกลางความสงสัย น้อยใจ ผิดหวัง ทำไมเขาช่างใจร้ายใจดำกับเธอเช่นนี้หนอ ทำไมเขาต้องมาทำให้เธอหวั่นไหวไปกับการกระทำคำพูด และท่าทางของเขาด้วย ถ้าเขาไม่รักไม่แคร์เธอ ทำไมเขาถึงไม่ปล่อยเธอไป เขาไม่รู้หรือว่าหัวใจของเธอตอนนี้ มันไม่มีแรงพอที่จะต่อสู้กับความผิดหวังอีกแล้ว  หญิงสาวยืนน้ำตาซึมทั้งสองข้างจากนั้นก็ใช้นิ้วเกลี่ยออกก่อนที่จะให้มันไหลลงสู่แก้ม

ระยะห่างระหว่างสองเราเริ่มมีมากขึ้น ถึงแม้ว่าจะเจอหน้ากันทุกวันแต่ความใกล้ชิดมันก็ค่อยๆ ห่างออกไปทุกทีเขาตั้งใจให้มันเป็นแบบนั้นหรือเป็นเพราะฉันเองที่ให้เกิดเรื่องพวกนี้ขึ้น หากตอนนั้นฉันฟังเขาสักนิดเรื่องมันก็คงไม่ต้องเป็นแบบนี้ เราสองคนคงไม่ต้องห่างเหินกันนานถึงสิบปี ความรู้สึกที่เธอมีตอนนี้มันปีบหัวใจของหญิงสาวยิ่งนัก เพียงแค่เส้นบางๆ ที่เธอมองข้ามทำให้เธอต้องได้เจอกับความเสียใจ ทำไมเธอถึงไม่พูดออกไปในวันนั้น คำถามนี้ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของหญิงสาว หากแต่คำตอบที่ได้ก็คือความทุกข์ใจ เพราะไม่ว่าจะตอบอะไรออกไป สุดท้ายมันก็กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้

โปรดติดตามตอนต่อไป



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น