ตอนที่ 2
นที :
อัง อัง รอด้วย ชายหนุ่มร้องตะโกนเรียกหญิงสาวที่กำลังเดินจ้ำอ้าวไปรอขึ้นรถยังป้ายรถเมล์
ขณะที่ตนกำลังใส่รองเท้านักเรียนอยู่หน้าห้องบันไดทางลงอาคาร
อัง : ถ้ารอทีอังก็ไม่ทันรถน่ะสิ
นที : ไปคันหลังก็ได้
ทำยังกับรถเมล์มีคันเดียว ชายหนุ่มวิ่งมาทันหญิงสาวอยู่หน้าประตูโรงเรียน
พร้อมกับเสียงหอบหายใจแรงๆ
อัง : ถึงจะมีหลายคันแต่กว่ารถจะวิ่งมามันใช้เวลานาน
อังไม่อยากยืนรอจนขาแข็ง
นที : ไม่นานหรอก
เชื่อทีสิ (เฮ้ย…เหนื่อย) แต่ถ้านานจริงๆ
เราสองคนเดินกลับก็ได้แค่ตรงหัวมุมเอง
อัง : ไม่เอาหรอก
เดินกลับมีหวังอังได้น่องใหญ่พอดี
นที : (หึ
หึ) ที่แท้ก็กลัวขาใหญ่ไม่ต้องห่วงหรอก เพราะยังไงมันก็ใหญ่อยู่ดี หูก็กาง ขาก็สั้น
ตัวก็เตี้ย เอกลักษณ์ของอังเลยล่ะ นี่ยังไม่พูดถึงตัวกลมอีกนะ
อัง : นี่ทีว่าอังเหรอ
นที : ไม่ได้ว่าชมต่างหาก
ใครจะกล้าว่าอังล่ะ
อัง : ชมบ้าอะไรเขาเรียกวิจารณ์กันชัดๆ
นที : ก็บอกไม่ได้ว่าไม่ได้วิจารณ์ด้วยแค่พูดความจริง
อังเคยเห็นพวกก็อบรินหรือพวกเอวฟ์ มั้ยในหนังน่ะ พวกนั้นน่ะเหมือนอังเลย
อัง : นี่ไงเห็นไหม
พวกนั้นน่ะน่า
เกลียดจะตาย
นี่หาว่าอังน่าเกลียดเหรอ หญิงสาวพูดพร้อมกับเอามือชี้หน้าชายหนุ่ม
จากนั้นก็ฟาดลงบนไหล่จนทำให้คนถูกตีต้องสะดุ้ง
นที : ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้ว่า
น่าเกลียดที่ไหน น่ารักจะตาย ยังไม่ทันได้พูดจบมือบางก็ฟาดเต็มแรงลงไปใส่แขนของชายหนุ่มจนต้องสะดุ้งร้องขึ้นมาทันที
นที :
โอ้ย! เจ็บนะอัง ตีทีทำไมนิ พูดความจริงก็ว่าโกหกก็ว่า
สรุปทีพูดอะไรก็ถูกอังตีอยู่ดี ถามจริงเป็นพวกชอบความรุนแรงหรือเปล่านิ
อัง : บ้านะสิ...
เออ...พูดจริงป่ะ...ที่ว่าน่ารักน่ะ
นที : แหน่ะ...โกหกมั้ง
อัง :
ตลอด…
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ร่างบางก็ถอนหายใจยาวๆ
หนึ่งครั้ง ทำไมโชคชะตาถึงได้เล่นตลกกับคนเราเสียจริงหนอ
เมื่อให้เราได้พบกันแล้วทำไมต้องทำให้เราได้พลัดพรากจากกันด้วย
หรือว่าสิ่งที่เธอกำลังประสบอยู่นี้ไม่ใช่เป็นเพราะโชคชะตา
หากแต่เป็นเพราะเธอเองต่างหากที่ทำให้เรื่องมันเป็นแบบนี้
กุ้ง : อัง
อัง นี่รินอังอยู่ไหน
ริน : อังไปเข้าห้องน้ำเดี๋ยวก็คงมา
มีเรื่องอะไรวิ่งตาตื่นมาเชียว
กุ้ง : เกิดเรื่องแล้วนะสิ
ริน : เรื่องใหญ่อะไรของแกยายกุ้ง
นี่ยังมีเรื่องไหนใหญ่กว่าเรื่องสอบเข้ามหาลัยอีกเหรอ
กุ้ง : เออ...ใหญ่กว่าอีก
พูดจบก็วิ่งไปหาเพื่อนที่กำลังเดินมาจากห้องน้ำทันที จนทำให้คนที่นั่งในบริเวณใกล้เคียงต่างพากันเหลียวมองด้วยความสงสัย
กุ้ง : อัง
อัง แกมานี่เลย
อัง : อะไรกันกุ้ง
ร้องเสียงตื่นเชียว
กุ้ง : เกิดเรื่องใหญ่แล้ว
ริน :
เรื่องใหญ่อะไร มีใครเป็นอะไร
กุ้ง :ไม่มีใครเป็นอะไร
แต่…
ริน : แต่…นี่ยายกุ้งรีบๆ
พูดมาซะทีสิ ฉันลุ้นจนฉี่จะราดอยู่แล้ว
กุ้ง : ก็ยายหนูดาวห้องหนึ่งนะสิ
หล่อนบอกว่าเมื่อคืนนทีไปส่งหล่อนที่บ้านแถมยังนอนค้างที่บ้านของหล่อนด้วย
ริน : เฮ้ย!... นรินอุทานเสียงดังพร้อมกับจ้องหน้าคนเล่า
อวัศยามองเพื่อนทั้งสองด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ไม่มีแววอาการตกใจ
ตื่นเต้นหรือสงสัยให้เห็นทั้งทีก่อนหน้านี้หญิงสาวรู้สึกตกใจอยู่ไม่น้อยเมื่อทราบเรื่อง
อันทีจริงหญิงสาวได้ยินเรื่องนี้แล้วเมื่อตอนอยู่ในห้องน้ำ
เธอได้ยินจากปากของคนที่เป็นเจ้าของเรื่องเองเสียด้วยซ้ำ
หนูดาว :
นี่อังเรามีเรื่องอยากบอกเกี่ยวกับนที
อัง : มีเรื่องอะไรอย่างนั้นเหรอ
หนูดาว : เราเห็นอังเป็นเพื่อนที่สนิทกับนทีมากที่สุดถึงอยากบอกให้รู้เอาไว้
เมื่อคืนนทีไปนอนค้างที่บ้านของเรา
อัง :
แล้วหนูดาวมาบอกอังทำไม
หนูดาว : เราก็อยากให้อังได้รู้ไว้นะสิ
อังจะได้คอยเตือนพวกที่ชอบคิดจะแย่งแฟนของเราว่าอย่าได้คิดมาแย่งของที่เป็นของเรา
ตายจริง!...เราคงจะอินไปหน่อยถึงได้พูดน้ำเสียงจริงจังกับอัง
แต่อังคงไม่คิดมากหรอกเนาะ
เพราะยังไงอังก็ไม่ใช่คนที่คิดจะแย่งนทีไปจากเราอยู่แล้ว
อัง : ก็จริงนะ...ถ้าไม่มีอะไรแล้วเราขอตัวไปทำรายงานส่งอาจารย์นะ
พูดจบหญิงสาวก็เดินผละออกมาจากห้องน้ำ
หนูดาว : เดี๋ยวอัง...อย่าลืมที่เราฝากบอกเมื่อตะกี้ล่ะ
คนถูกเรียกชื่อพยักหน้าเป็นคำตอบจากนั้นก็เดินจากไปโดยไม่หันกลับไปมองคนที่ยืนยิ้มอยู่ด้านหลังด้วยความสะใจ
“ คิดว่าจะแน่
ที่แท้ก็เป็นพวกหน้าบางอย่าได้คิดมาแข่งกับฉันซะให้อยากเลย
ยังไงนทีก็ต้องเป็นแฟนฉันฝันไปเถอะ ยัยเตี้ยหูกางเอ๊ย! ”
กุ้ง :
อัง แกไม่พูดอะไรบ้างเลยเหรอ คนถูกถามนิ่งมองหน้าคนถามกลับก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ม้าหินอ่อนตัวเดิมจากนั้นก็ก้มหน้าเขียนรายงานที่อาจารย์เพิ่งสั่งเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมาต่อ
ทำไมเธอจะไม่รู้สึกหัวใจมันหล่นวูบลงไปอยู่แทบเท้าเมื่อได้ยินประโยคเหล่านั้น
มือที่จับผ้าเช็ดหน้าออกอาการสั่นแข้งขาเธอแทบอ่อนแรง แต่ก็ยังคงเก็บความรู้สักได้ดีไม่ยอมให้ใครได้รู้ถึงความเสียใจ
อัง :
จะให้พูดอะไรล่ะ มันเรื่องของเขาสองคนไม่เกี่ยวกับเราสักหน่อย
กุ้ง :
แต่นทีเขาเป็นคน…
อัง : นทีเขาเป็นแฟนหนูดาว และก็ยังเป็นเพื่อนที่พวกเราสนิทถ้าจะให้พูดก็คงต้องบอกว่ายินดีกับพวกเขาทั้งคู่
ประโยคที่หญิงสาวพูดออกไปมันเหมือนเป็นการตอกย้ำให้เพื่อนทั้งสองคนเข้าใจว่าและตอกย้ำความรู้สึกเจ็บให้แล่นผ่านเข้าไปแก่นกลางระหว่างดวงใจของหญิงสาว
กุ้ง : โอเค
เพื่อนก็เพื่อนแล้วอังไม่สงสัยหรือว่าเรื่องมันเกิดขึ้นได้ยังไง
ทำไมนทีถึงได้ไปนอนบ้านของยายดาว
ริน
: แต่ช่วงหลังๆ มานี้ นทีก็ไม่ได้กลับบ้านพร้อมอังแถมยังหลบหน้าหลบตาพวกเราด้วย
หรือว่าเรื่องที่ยัยนั่นเล่าจะเป็นเรื่องจริง
กัลยาหยิกแขนนรินเบาๆ จนคนถูกหยิกต้องร้องโอ้ยและมองหน้าคนหยิก
แต่เมื่อเห็นสายตาที่สื่อมาก็รู้ความหมายทันที
ริน : ไม่ต้องสงสัยหรอก
ข่าวมั่วชัวร์ ยัยนั่นคงแต่งเรื่องขึ้นเอง
กุ้ง : ถ้าแต่งเรื่องขึ้นมาจริง
ยัยนั่นต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ ที่แต่งเรื่องให้ตัวเองเสียชื่อเสียง
ริน :
แต่บางทีชื่อเสียงยัยนั้นก็ไม่มีอะไรให้เสียแล้วนะ สงสัยคงจะงัดไม้ตายไม้สุดท้ายแล้วก็ได้ ไม่เพียงน้ำเสียงของคนพูดที่ตื่นเต้น
แต่ท่าทางแระกอบคำพูดนั้นยังทำให้คนฟังถึงกับอดขำไม่ได้
กุ้ง : นี่ฉันว่าแกแค่พูดก็พอ
ไม่ต้องมีท่าทางประกอบหรอก ฉันขำว่ะ
ริน : แกก็ชอบขัดฉันซะจริงกุ้ง
อัง : เอาล่ะ!
หญิงสาวลุกขึ้นพร้อมกับเก็บหนังสือใส่กระเป๋า
ริน :
เฮ้ย! อังจะไปไหนน่ะ
อัง :
เธอสองคนไม่ได้ยินเสียงออดดังบอกเวลาเลิกเรียนเหรอ
กุ้ง :
แต่เราสองคนยังคุยกันไม่จบเรื่องเลยนะ
อัง : ก็ไม่เห็นมีอะไรนิ
ฉันว่าเธอสองคนเอาเวลาที่เม้าท์เรื่องของคนอื่น มาทำรายงานส่งอาจารย์จะมีประโยชน์กว่า
อีกอย่างฉันต้องกลับไปอ่านหนังสือเตรียมสอบปลายภาค
ไหนจะต้องท่องหนังสือสอบเอ็นทรานอีก ถ้าพวกเธออยากคุยกันต่อก็คุยกันสองคนแล้วกัน
ฉันกลับก่อนล่ะ บาย…แล้วเจอกันวันจันทร์
กุ้ง : เฮ้ย!...เดี๋ยวอังรอเราด้วย คนพูดร้องบอกเพื่อนสาวที่เดินจากไปพร้อมกับเก็บสมุดหนังสือใส่กระเป๋า
กุ้ง : นี่ริน แกกับฉันเดี๋ยวเราค่อยมาคุยกันต่อวันจันทร์นะ
วันนี้ฉันกลับล่ะ พูดจบก็วิ่งตามหลังคนที่กำลังเดินไปก่อนทันที
ริน : อ้าว! เฮ้ย! ไหงเป็นงั้นล่ะ คนพูดน้ำเสียงเหมือนถูกขัดใจแต่ก็ยอมรับปากแต่โดยดี
หากนี่คือความฝัน
มันก็คงเป็นฝันที่เธออยากลบออกไปจากความจำ แต่ถ้านี่คือความจริง
มันคงเป็นสิ่งที่เธอหลีกหนีไม่ได้ เธอไม่อยากรับรู้ความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้
อวัศยาคิดระหว่างเดินลงรถ อันที่จริงเธอคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มาตลอดตั้งแต่เดินออกจากโรงเรียนจนขึ้นนั่งบนรถเมล์
หญิงสาวเกือบจะนั่งเลยป้ายไปแล้วด้วยซ้ำ
ถ้าไม่เจอพี่คนหนึ่งที่อยู่ซอยเดียวกันสะกิด ทำไมเรื่องนี้ถึงได้มีอิทธิพลต่อความคิดของเธอมากเพียงนี้นะ
อัง : ป้าค่ะแป๊บซี่แก้วหนึ่งค่ะ
ป้า : ได้สิจ๊ะ
แต่หนูอังรอหน่อยนะ ป้าติดลูกค้าอยู่สามคน แม่ค้าร่างอ้วนตอบกลับพร้อมส่งยิ้มให้หญิงสาว
อัง : ไม่เป็นไรค่ะ
หนูรอได้
ป้า : หนูอังเพิ่งเลิกเรียนเหรอ
วันนี้กลับเร็วกว่าทุกวันนะ
อัง : พอดีวันนี้หนูไม่มีติวหนังสือกับเพื่อนน่ะค่ะ
เดี๋ยวหนูตักน้ำแข็งใส่แก้วให้นะคะ
ป้า : จ๊ะ
ขอบใจนะ แล้ววันนี้นทีไม่กลับมาพร้อมกันเหรอเห็นทุกทีเดินตามหนูอังต้อยๆ ยังไม่ทันที่คนถูกถามจะตอบคำถาม
เสียงคุ้นหูก็เอ่ยขึ้นขัดจังหวะการสนทนาของคนทั้งคู่
นที : ป้าครับ
แป๊บซี่แก้วหนึ่งครับ
ป้า : อ้าวนที!
นที :
ทำหน้าตกใจแบบนี้แสดงว่าแอบนินทาผมใช่มั้ยเนี่ย
ป้า :
ไม่ได้นินทา ตะกี้ยังถามหนูอังอยู่เลยว่าไม่ได้กลับมาพร้อมกันเหรอ
นที : พอดีผมกลับมาพร้อม…
ชายหนุ่มเว้นวรรคคำพูดนิดหนึ่งแล้วก็มองหน้าหญิงสาวที่ยืนหน้าบึ้งตักน้ำแข็งใส่แก้ว
“ เพื่อนที่ชมรมน่ะครับ ”
ป้า : อืม…เดี๋ยวนทีรอแป๊บนะป้าติดลูกค้าสามคน
นที : ได้สิครับ
สำหรับป้าให้รอนานแค่ไหนผมก็ยินดีรอ
ป้า :
แหม่! พูดแบบนี้สาวๆ ถึงได้ติดกันทั้งซอย
นที : โถ่…ป้าก็พูดเกินไปไม่มีหรอกครับ คนที่อยากให้มองเขาก็ไม่มอง
สงสัยคงจะไม่ใช่เสปคเขา
ชายหนุ่มพูดสายตาก็ชำเลืองมองหญิงสาวอีกครั้ง
สีหน้าของเธอยังคงนิ่งและไม่มีแววว่าจะมองเขาด้วยซ้ำ ทำไมวันนี้ถึงเงียบผิดปกติ
ทุกทีจะพูดเป็นต่อยหอยหรือไม่ก็หาเรื่องบ่นให้ตนตลอด
แต่วันนี้หญิงสาวเปลี่ยนไปสายตาก็ไม่เหมือนเดิม หรือว่าเธอจะรู้เรื่องของเขาแล้วถึงได้ทำตัวห่างเหินออกไป
ชายหนุ่มคิดขณะมองหน้าหญิงสาว
ป้า : มีคนแบบนั้นอยู่ด้วยเหรอในซอยเรา
นที : มีสิครับป้า
นทีละสายตาจากหญิงสาวหันมาตอบคนที่กำลังเอ่ยถาม
ป้า : ป้าชักอยากเห็นหน้าแล้วซิ
นที : ไม่ใกล้ไม่ไกลหรอกครับ
ดีไม่ดีป้าอาจจะเคยเห็นแล้วก็ได้
ป้า : คราวหลังถ้าเดินผ่านก็สะกิดป้าหน่อยนะ
ป้าจะได้รู้
นที :
ได้สิครับ ถ้าผมเจอเธอคนนั้นแล้วผมจะขยิบตาขวาให้ป้านะครับ ชายหนุ่มพูดจบก็ขยิบตาขวาพร้อมกับยิ้มให้กับแม่ค้าร่างอ้วน
ป้า : แบบนี้เลยหรือ
ได้ๆ ป้าจะได้รู้ หนูอังก็ไม่รู้เหมือนกันเหรอ ผู้หญิงคนนั้น
อัง : ไม่ค่ะ
หนูไม่ได้สนใจ
ป้า : เอ๊า! เป็นงั้นไป…นี่จ๊ะแป๊บซี่ที่หนูสั่ง ส่วนนี่ของนที
อัง :
นี่ตังค์ค่ะป้า หนูไปนะคะ
ป้า :
จ๊ะ ขอบใจนะที่มาอุดหนุนป้า
นที :
นี่ตังค์ค่าแป๊บซี่ผมครับ ผมไปนะป้าแล้ววันหลังผมจะมาอุดหนุนอีก ชายหนุ่มพูดแล้วก็เดินแกมวิ่งตามหญิงสาวไป
ป้า : เฮ้ย! หนุ่มสาวสมัยนี้มันเดาความรู้สึกยากจริงๆ
นที :
อัง รอด้วยสิจะรีบเดินไปไหน
อัง : ทำไมต้องรอ ขาเราสองคนไม่ได้ผู้ติดกันสักหน่อย
นที : โถ่..อัง โกรธทีเรื่องอะไรอีกล่ะ คนฟังหยุดกะทันหันเมื่อได้ยินคำพูดของชายหนุ่มที่วิ่งตามหลังมา
นที :
เฮ้ย!
คนวิ่งมาเบรกกะทันหันเมื่อเห็นคนข้างหน้าหยุดจนเกือบทำให้ตนชนเข้ากับร่างบาง “ จะหยุดทำไมไม่บอก เห็นไหมทีเกือบชนอังแล้ว ”
อัง :
ทีตามอังทำไม บ้านเราสองคนอยู่คนล่ะซอยไม่ใช่เหรอ
นที : ก็…ทีอยากเดินลัดซอยนี้และก็ไปเลี้ยวแยกหน้าไง หญิงสาวถอนหายใจยาวๆ เมื่อได้ฟังคำตอบจากนั้นก็เดินลิ่วต่อไปอีก
นที :
เดี๋ยวอัง
ทีมีเรื่องอยากคุยด้วย วันนี้ไม่ได้คุยกันทั้งวันเลย
อัง : เอาไว้วันหลังแล้วกันวันนี้อังไม่มีอารมณ์
นที : คุยกันต้องมีอารมณ์ด้วยเหรอ
นัดใครไว้ล่ะสิ ถึงไม่มีแม้แต่เวลาจะคุย น้ำเสียงของชายหนุ่มยังคงมีแววหยอกล้อเพราะหวังว่าคำพูดของตนจะทำให้คนฟังอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง
จากที่หน้าบึ้งจะได้หายบึ้งจากที่หงุดหงิดจะได้ยิ้มแย้ม
ขอแค่เห็นหญิงสาวยิ้มให้กับตน
แค่นี้ชายหนุ่มก็ดีใจยิ่งกว่าได้สร้อยทองคล้องคอเสียอีก
นที : ใช่ซิ!ทีไม่สำคัญอยู่แล้วนิ หญิงสาวหยุดเดินหันมามองหน้าคนเดินตามหลัง
เป็นอีกครั้งที่ร่างสูงเกือบชนร่างบางจนทำให้แป๊บซี่ที่ถืออยู่ในมือกระเพื่อมหกลงโดนเสื้อตนเอง
อัง : ใครกันแน่ที่สมควรจะพูดคำนี้
น้ำเสียที่พูดใส่ชายหนุ่มนั้นมีความโกรธปนความน้อยใจ
เมื่อนึกขึ้นได้ว่าตนเองไม่ควรพูดคำพูดเหล่านั้น ก็รีบเอ่ยขอโทษออกไป
นที : ขอโทษ
อัง :
ไม่ต้องขอโทษหรอก ทีไม่ได้ทำอะไรผิด หญิงสาวปรับอารมณ์ให้เป็นปกติก่อนที่จะเอ่ยตอบชายหนุ่มออกไป
นที : ผิดสิ
ทีไม่ควรพูดแบบนั้น เพราะไม่มีสิทธิ์ ชายหนุ่มพูดได้แค่ประโยคแรกประโยคที่สองนั้นทำได้แค่พูดภายในใจ
อัง : ทีมีอะไรก็พูดมาสิ
อังรอฟังอยู่
นที : คือ…ไม่มีอะไรหรอก วันนี้อังคงไม่มีอารมณ์จริงๆ
เอาไว้วันหลังทีค่อยพูดก็ได้มันไม่ได้สำคัญอะไรหรอก อังก็เดินกลับบ้านดีๆ ล่ะ พูดจบชายหนุ่มก็หันหลังเดินจากไปปล่อยหญิงสาวให้ยืนคว้าอยู่ท่ามกลางความสงสัย
น้อยใจ ผิดหวัง ทำไมเขาช่างใจร้ายใจดำกับเธอเช่นนี้หนอ
ทำไมเขาต้องมาทำให้เธอหวั่นไหวไปกับการกระทำคำพูด และท่าทางของเขาด้วย
ถ้าเขาไม่รักไม่แคร์เธอ ทำไมเขาถึงไม่ปล่อยเธอไป
เขาไม่รู้หรือว่าหัวใจของเธอตอนนี้
มันไม่มีแรงพอที่จะต่อสู้กับความผิดหวังอีกแล้ว
หญิงสาวยืนน้ำตาซึมทั้งสองข้างจากนั้นก็ใช้นิ้วเกลี่ยออกก่อนที่จะให้มันไหลลงสู่แก้ม
ระยะห่างระหว่างสองเราเริ่มมีมากขึ้น
ถึงแม้ว่าจะเจอหน้ากันทุกวันแต่ความใกล้ชิดมันก็ค่อยๆ
ห่างออกไปทุกทีเขาตั้งใจให้มันเป็นแบบนั้นหรือเป็นเพราะฉันเองที่ให้เกิดเรื่องพวกนี้ขึ้น
หากตอนนั้นฉันฟังเขาสักนิดเรื่องมันก็คงไม่ต้องเป็นแบบนี้
เราสองคนคงไม่ต้องห่างเหินกันนานถึงสิบปี
ความรู้สึกที่เธอมีตอนนี้มันปีบหัวใจของหญิงสาวยิ่งนัก เพียงแค่เส้นบางๆ
ที่เธอมองข้ามทำให้เธอต้องได้เจอกับความเสียใจ ทำไมเธอถึงไม่พูดออกไปในวันนั้น
คำถามนี้ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของหญิงสาว หากแต่คำตอบที่ได้ก็คือความทุกข์ใจ
เพราะไม่ว่าจะตอบอะไรออกไป สุดท้ายมันก็กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้
โปรดติดตามตอนต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น