เธอคือแรงบันดาลใจ
เสียงโทรศัพท์ที่ดังปลุกคนที่กำลังนอนให้ตื่น
ท่ามกลางอากาศที่เหน็บหนาวในเช้ามืดของวันปีใหม่
กุ้ง : อัง...ตื่นหรือยัง เสียงปลายสายถามลอดผ่านเครื่องโทรศัพท์มา
อัง : มีเรื่องอะไรหรือเปล่ากุ้ง
เล่นโทรมาปลุกฉันตั้งแต่ไก่โห่เนี่ย คนพูดน้ำเสียงหงุดหงิดปนงัวเงีย
กุ้ง : โทษทีจ๊ะ
กุ้งแค่จะโทรมาเตือนอัง เรื่องงานรวมศิษย์เก่าโรงเรียนเย็นนี้
อัง : งานรวมศิษย์เก่าเหรอ
ฉันทวนคำเพื่อนสาวด้วยสีหน้างงๆ
ซึ่งอาจเป็นเพราะยังไม่ส่างนอนก็เป็นไปได้
แล้วดวงตาดำก็เบิกกว้างขึ้นทันทีเมื่อนึกขึ้นได้
อัง : จริงสิ
กุ้ง : จำได้แล้วใช่มั้ย
สรุปเจอกันที่เดิมใต้ต้นหูกวางริมคลองนะ
อัง : เดี๋ยวกุ้ง...
ยังไม่ทันที่คนฟังจะได้เอื้อนเอ่ย
ปลายสายก็ถูกตัดไปเสียแล้ว
อัง :
ยังคุยไม่รู้เรื่องเลยว่าจะถามสักหน่อย ต้นหูกวางต้นไหนมันมีสองต้นซะด้วยสิ ต้นหนึ่งเป็นต้นที่เธอและเพื่อนชอบมานั่งหลับเวลาพักกลางวัน ส่วนอีกต้นเป็นที่ๆ เธอได้พบเขาครั้งแรก
จุดเริ่มต้นของความรู้สึกตื่นเต้น
ดีใจ ในที่สุดความปรารถนาของเธอก็กลายเป็นจริงขึ้นมา แต่ในความตื่นเต้นดีใจนั้น กลับมีความกังวลบวกกับความกลัว ซึ่งหญิงสาวพยายามเก็บซ่อนมันเอาไว้ ภายใต้ภาพความทรงจำที่งดงาม
เธอมองออกไปนอกหน้าต่าง นึกย้อนไปถึงความทรงจำที่เก็บไว้
วันนี้ความทรงจำเหล่านั้นกำลังจะออกมาโบยบินให้เธอได้เห็นอีกครั้ง สิบปีกับการจากไปของคนในความทรงจำ วันนี้เขาจะกลับมาให้เธอได้พบอีกครั้ง
“ เขา ” ผู้ซึ่งเคยบอกว่าเธอเป็น Inspiration
ฟารีดา
*******************************************************************************
ตอนที่ 1
โรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งใจกลางเมืองกรุงเทพ
วันนี้เป็นอาทิตย์ที่สองของการเปิดภาคเรียนประจำปีการศึกษาใหม่ ระหว่างช่วงพักกลางวันนักเรียนแต่ละชั้นต่างพากันลงมานั่งเล่นตามร่มไม้
ม้านั่งและสนามกีฬา ในกลุ่มของนักเรียนที่มานั่งเล่นตามร่มไม้ มีนักเรียนหญิงสามคนเดินจับกลุ่มมาทางด้านหน้าของโรงเรียน
เมื่อทั้งสามเดินมาถึงต้นไม้ใหญ่ริมคลอง
กุ้ง : ฉันว่าเอาต้นนี้มั้ย
ต้นใหญ่ให้ร่มเงาดีรับลองว่าแดดส่องไม่ถึง
ริน : อืม...ก็ดีนะกุ้ง
แล้วอังว่าไง เห็นด้วยกับกุ้งหรือเปล่า
อัง :
ถ้ากุ้งกับรินว่าโอเค อังก็เห็นด้วย อีกอย่างต้นนี้อยู่ไกลผู้คน คงเงียบเชียวล่ะ เหมาะกับการพักสายตาในเวลาท้องอิ่มแบบนี้
กุ้ง: ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็เริ่มกันเลยนะ
กุ้งพูดขึ้นพร้อมกับวางกระเป๋าลงจากบ่ารูดซิบหยิบเสื่อออกมาปู
แล้วคนทั้งสามก็พากันถอดรองเท้าวางไว้ตรงปลายเสื่อจากนั้นก็นั่งหันหลังพิงกันพร้อมเหยียดขายาว
ริน :
อังได้อ่านเรื่องรามเกียรติ์ ตอนศึกไมยราพ หรือเปล่า
อัง : เพิ่งอ่านจบไปเมื่อวันอาทิตย์นี้เอง
ริน : อังท่องให้เราฟังหน่อยได้สิเราอยากฟัง เสียงของอังเพราะเวลาท่อง
อัง : ได้สิ
เราพอจำได้ลางๆ แล้วคนถูกขอก็พยักหน้ารับพร้อมกับเอ่ยบทเสียเจื้อยแจ้ว
เมื่อนั้น พระยาไมยราพยักษี
ครั้นเสร็จแกว่งกล้องมณี อสุรีก็เหาะกลับมาฯ
ครั้นถึงยืนอยู่แต่ไกล แอบพุ่มพระไทรใบหนา
เห็นหมู่วารโยธา มิได้ตรวจตราแก่กัน
กุ้ง :
เอ๊ะ! มีใครนั่งอยู่ตรงริมน้ำฝั่งโน่นด้วยล่ะ กุ้งเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นเสื้อสีขาวที่อยู่อีกฝั่งของคลอง
อัง : เด็กผู้ชายหรือเปล่า นอนเหยียดขายาวสบายใจเชียว
ริน : นั่นมันนายนที
ที่เรียนอยู่ห้องเดียวกับเรานี่
อัง : นที…เหรอ
ริน : ใช่...นที
นั่งโต๊ะข้างหลังอังยังไงล่ะ
อัง : เราไม่เคยเห็นคุ้นหน้าเลย
ริน : จะคุ้นได้ยังไง
ในเมื่อเขานั่งอยู่ข้างหลังอังตลอด ถ้าอังมองเห็นเขาจากตาหลังสิแปลก (555) แถมเขายังชอบนั่งหลับวิชาพระพุทธศาสนาอีกด้วยนะ
กุ้ง :
ไม่ใช่แค่นทีหรอกที่หลับ เราก็หลับด้วย (หึๆ หึๆ )
ในตอนนั้นฉันได้แต่ยิ้มแห้งๆ
ไปกับคำพูดของเพื่อนทั้งสอง แต่ภายในใจก็ได้แต่คิดถึงเรื่องราวของคนที่ชื่อ นที และนั่นเป็นที่ที่ฉันได้เจอกับนทีครั้งแรกถึงแม้เจ้าตัวเขาจะไม่รู้ก็ตาม
นทีเป็นเด็กที่เติบโตมาจากต่างจังหวัด
พอเรียนจบมัธยมต้นพ่อกับแม่ก็ให้เข้ามาเรียนต่อที่กรุงเทพ
พ่อของนทีเป็นเจ้าของปางไม้ที่ใหญ่ที่สุดของภาคเหนือ
ส่วนแม่นั้นเป็นเจ้าของร้านขายของฝากที่มีสาขามากกว่า 10 แห่ง
อัง : นี่ นายชื่อนทีเหรอ
หญิงสาวซึ่งนั่งอยู่โต๊ะด้านหน้า
หันกลับไปถามคนที่เพิ่งเข้ามาใหม่ที่นั่งอยู่ด้านหลัง ด้วยสายตาเป็นมิตร
นที : ใช่...เธอชื่ออวัศยาใช่มั้ย
อัง : เรียกว่าอังเฉยๆ
ก็ได้ ว่าแต่นายรู้จักชื่อฉันด้วยเหรอ
นที :
แน่นอนสิ...ก็เราอยู่ห้องเดียวกัน แถมเธอยังนั่งอยู่หน้าเรา จะไม่ให้รู้จักชื่อเธอได้ไง
อัง : ก็จริงเนอะ...แต่ฉันกลับไม่รู้จักชื่อนายเลย
ทั้งๆ ที่เรานั่งอยู่ใกล้กัน ถ้าไม่เพราะเพื่อนบอกเธอก็คงไม่รู้และไม่สังเกตุด้วยซ้ำ หญิงสาวคิดหลังตอบชายหนุ่มเสร็จแล้ว
นที : เราขึ้นรถกลับบ้านพร้อมกันทุกวัน
ตอนเช้าก็ออกมารอรถพร้อมกัน บ้านก็อยู่หมู่บ้านเดียวกัน
เธอไม่คุ้นหน้าเราบ้างเลยเหรอ
อัง : จริงเหรอ!
ฉันไม่เคยสังเกตเลย คนพูดทำตาโตพร้อมกับจ้องหน้าชายหนุ่ม
นที :
เฮ้ย…! เธอนี่ สิ้นคำพูดชายหนุ่มก็ส่ายหน้า
อัง :
เถอะน่า ยังไงวันนี้ฉันก็รู้จักนายแล้ว ต่อไปเราก็คงจะสนิทกันมากขึ้น
หญิงสาวพูดจบก็ยิ้มเต็มสองแก้มให้กับชายหนุ่ม แต่พอนึกขึ้นได้ก็หันไปคว้ากระเป๋าที่อยู่ใต้โต๊ะขึ้นมาวางบนตัก ก่อนจะลงมือค้นหาบางสิ่งบางอย่าง ชายหนุ่มนั่งมองหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าสงสัยแต่ก็ไม่ได้เอ่ยถาม
เมื่อหญิงสาวได้ของบางอย่างในกระเป๋าแล้วก็ยื่นส่งให้ชายหนุ่มทันที
อัง : ของขวัญต้อนรับมิตรภาพของเรา
นที : ปากกา ชายหนุ่มทำหน้างงเมื่อเห็นของที่หญิงสาวยื่นให้
จากนั้นก็ยิ้มจนเห็นฟันขาว
นทีถูกส่งให้เข้ามาเรียนในกรุงเทพ
โดยพักอยู่กับพี่สาวและพี่เขยซึ่งอยู่หมู่บ้านเดียวกันกับฉัน
ทุกเช้าเราสองคนมักจะไปขึ้นรถพร้อมกันและทุกเย็นเราสองคนก็จะกลับบ้านพร้อมกันเสมอ
นอกเสียจากวันไหนที่นทีซ้อมบอลกับเพื่อนฉันก็ต้องกลับคนเดียว
ในทุกๆ เช้าของวันหยุด
นทีมักจะมีข้าวเหนียวหมูปิ้งมาให้ฉันอยู่บ่อยครั้ง
ฉันไม่รู้หรอกว่าเขาทำแบบนั้นทำไม อาจเป็นเพราะนิสัยที่เขาชอบดูแลคนอื่น
ทำให้คนรอบข้างมีความสุข เพื่อนๆ ในห้องต่างก็ชอบเขา หลายครั้งที่ฉันเคยถามว่าเขาทำแบบนั้นทำไม
เขาก็ตอบแบบกวนๆ ว่า “ ก็แค่อยากทำ
เห็นคนอื่นยิ้มแล้วสุขดี ”
3 ปีที่รู้จักกัน มิตรภาพสายสัมพันธ์เริ่มก่อตัว
ความรู้สึกที่เกิดขึ้นภายในใจมันทำให้ฉันเกิดความสงสัยว่า “
ฉันรักเขาหรือเปล่า ”
นที : อังระวัง!
เสียงร้องตะโกนดังข้ามฟากมาจากกลางสนามฟุตบอล
หยุดการเดินของหญิงสาวให้หันไปตามเสียงเรียก
ตุ๊บ…!
โอ้ย...! หญิงสาวร้องเสียงดังพร้อมกับมือกุมหัวตัวเอง
ร่างบางถึงกับนั่งทรุดลงทันที
นที : โดนจนได้
ว่าแล้วเชียว ชายหนุ่มสบถกับตัวเอง ก่อนจะวิ่งมายังจุดที่บอลหล่นใส่หญิงสาว
“ เจ็บมากหรือเปล่าอัง” ชายหนุ่มถามน้ำเสียงมีแววห่วงใย
อัง :
ลองโดนดูบ้างสิ ทีจะได้รู้ว่าเจ็บหรือเปล่า คนร่างบางตอบกลับแววตามีความโกรธอยู่ไม่น้อย
นที : ไม่เอาล่ะ
ทีไม่อยากหัวปูดเดี๋ยวไม่หล่อ น้ำเสียงที่พูดมีแววหยอกล้อให้คนฟังมีอารมณ์ขัน เผื่อจะคลายความโกรธจากสายตาเธอลงได้บ้าง
แต่ก็ดูเหมือนจะไม่เป็นผลแถมแววความโกรธจะเพิ่มขึ้นอีกด้วย
นที : เราล้อเล่นน่ะอัง
อย่าโกรธทีเลยนะ นี่ทีก็พยายามร้องบอกอังให้ระวังแล้วนะแต่ก็...
อัง :
แต่ก็โดนจนได้ นี่ถ้าอังไม่ได้ยินเสียงทีร้องเรียก อังคงไม่หยุดเดินแล้วบอลก็คงจะไม่โดนหัวอังหรอก คนเจ็บรัวคำพูดใส่คนฟังเป็นชุด
จนคนฟังได้แต่นั่งยิ้มเกาหัวแกร็กๆ
นที : แต่ทีก็ช่วยอังไม่ให้โดนเยอะนะ
ถ้าไม่ร้องบอกอังอาจเจ็บกว่านี้หลายเท่า
อัง : จ๊ะ...
อังจะถือว่าเป็นพระคุณอย่างสูง ที่ทีช่วยอังให้เจ็บตัวน้อยลง
นที :
ไม่เห็นต้องประชดกันเลย
อัง :
แล้วลูกตะกี้ใครเป็นคนแตะ
นที : อ๋อ...คนแตะเหรอ...เออ...คือ
อัง : ใคร...? ชายหนุ่มยิ้มแห้งๆ
กับหญิงสาวก่อนจะก้มหน้าตอบคำถามน้ำเสียงแผ่วเบา
นที : เราเอง คนฟังเบิกตากว้างเมื่อรู้ว่าใครคือต้นเหตุที่ทำให้เธอเจ็บตัว
อัง : ทีนะที
นที : ใช่อัง เรานทีเพื่อนอังไง พูดจบชายหนุ่มก็ร้องเสียงดัง
เมื่อมือบางเอาบอลทุ่มใส่บนไหล่ อีกทั้งยังดึงหูทั้งสองข้าง
อัง : ตลกใช่มั้ย
เห็นอังเจ็บตัวแล้วมีความสุขเหรอ อย่างนี้สมควรดึงให้หูหลุดติดมือเลยดีมั้ย ถึงแม้ปากจะพูดแต่มือสองข้างก็ยังคงดึงหูของชายหนุ่มไม่ยอมปล่อย
นที : ไม่ดีอัง
โอ้ยๆ พอแล้ว ทีเจ็บแล้วทีขอโทษต่อไปทีจะไม่ทำอีกแล้ว ไม่พูดกวนประสาทอังอีก
จะทำตัวดีๆ และที่สำคัญจะมองอังคนเดียวด้วย
คนโมโหชะงักมือตาโตทันที เมื่อได้ยินประโยคสุดท้ายที่ชายหนุ่มพูด
อัง : ทำไมจะต้องมองอังคนเดียวด้วย
นที : ก็ถ้าไม่มองอังทีอาจแตะบอลโดนอังเจ็บตัวอีกไง
อัง :
เหรอ...คนพูดลากเสียงยาวเหมือนไม่ค่อยเชื่อในสิ่งที่ชายหนุ่มบอก
นที :
จริงๆ แล้วมันมีอีกเหตุผมหนึ่ง ไม่รู้อังจะโกรธหรือเปล่าถ้ารู้
อัง :
ก็ลองบอกมาก่อนสิ แล้วอังจะบอกว่าโกรธหรือเปล่า
นที : อังคือแรงบันดาลใจของเรา เคยได้ยินป่ะ Inspiration ทุกครั้งที่เห็นหน้าอังทีจะมีความรู้สึกบางอย่าง มันเป็นเหมือนแรงผลักดันที่ทำให้ทีอยากออกไปค้นหาคำตอบ
อัง : จริงเหรอ....คนตาโตถามกลับน้ำเสียงตื่นเต้นจนคนฟังรู้สึกได้ แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มและสายตาคู่นั้นแล้ว มันทำให้ความเชื่อลดน้อยถอยลงไป
อัง : นี่ล้ออังเล่นใช่มั้ย
นที : โอ้ย!... อังอย่าๆ ไม่ได้ล้อเล่นปล่อยมือก่อนนะ อังคนดีนะ
คนพูดทำสีหน้าและแววตาละห้อย
ทำให้คนที่มองถึงกับนึกถึงหน้าของ หมูปิ้ง สุนัขพันธุ์ปั๊ก(Pug)ที่ตนเลี้ยงไว้ เวลามันต้องการเล่นกับหญิงสาวหรือเรียกร้องความสนใจจากเจ้าของ
มันมักจะทำตาละห้อยและเมื่อเห็นสายตานั้น เธอมักจะใจอ่อนและยอมเล่นกับมันทุกครั้ง
นที : เฮ้ย! ค่อยยังชั่วหน่อย พร้อมกับเอามือสองข้างลูบหูตัวเอง หญิงสาวลุกขึ้นพร้อมกับปัดเศษหญ้าออกจากกระโปรง
โดยมีชายหนุ่มลุกตามและยืนดูอย่างไม่วางตา
อัง : ดูสิ
กระโปรงอังเปื้อนหมดแล้ว
นที : ไม่เปื้อนมากหรอกแค่นิดหน่อยเอง
คนอื่นเขาไม่รู้หรอกว่าอังสะดุดล้ม ใบหน้าคมยังคงยิ้มให้กับหญิงสาวอย่างหยอกล้อ
อัง :
อยากโดนอีกใช่มั้ย
นที : ไม่เอาๆ
ไม่อยากโดน
อัง :
ถ้าไม่อยากโดนก็เลิกพูดล้อเล่นซะที
นที :
ก็ได้ๆ ไม่ล้อเล่นแล้ว คราวนี้จะพูดจริงล่ะ ทำไมอังถึงเดินคนเดียวรินกับกุ้งแห้งไปไหน
ปกติสองคนนั้นจะประกบอังไม่ให้คลาดสายตาไม่ใช่เหรอ
อัง : สองคนนั้นอยู่ห้องสมุด อังจะเอารายงานไปส่งที่ห้องพักครูก็เลยให้สองคนนั้นรอที่นั่น
นที : อ๋อ...อังทำรายงานเสร็จแล้วเหรอ
ทำไมทำเสร็จเร็วจังทียังไม่เสร็จเลย
อัง :
ทีจะทำเสร็จได้ไง ถ้ายังแตะบอลอยู่อย่างนี้ อีกไม่กี่อาทิตย์ก็จะสอบวัดผลปลายภาคแล้ว
หนังสือน่ะอ่านบ้างหรือยัง
นที : อ่านเหมือนกันแต่ก็ยังจำไม่ค่อยได้
อังติวให้หน่อยสิ
อัง : ไม่เอาหรอก
ทำไมทีไม่ลองบอกหนูดาวห้องหนึ่งติวให้ล่ะ แฟนทีไม่ใช่เหรอ
นที : ใครบอก...?
อัง : เจ้าตัวเขาแหละที่บอก
ป่านนี้คนเขารู้ทั่วโรงเรียนแล้วมั้ง
นที : แฟนทีที่ไหน
มีคนเดียวแหละที่อยากให้เป็น
อัง : ใคร…?
คนได้ฟังตาโตขึ้นมาอีกครั้งจนคนพูดถึงกับยิ้มเมื่อเห็นใบหน้าหวานของคนถาม
สายตาทั้งสองประสานกัน ภายใต้แววตานั้นมีความรู้สึกบางอย่างซ่อนอยู่
คนตาโตถึงกับหัวใจเต้นแรงเมื่อเห็นสายตาของชายหนุ่มที่จ้องมองมา ถึงแม้สายตานั้นจะมีแววหยอกล้อ แต่ก็มีบางสิ่งบางอย่างปนอยู่ในสายตาคู่นั้น
นที :
ก็…ไม่บอกดีกว่า เอาไว้อังรับปากว่าจะติวให้ทีก่อนแล้วถึงจะบอก ชายหนุ่มพูดจบก็หันหลังวิ่งไปเก็บบอลที่หญิงสาวใช้ขว้างใส่ จากนั้นก็กลับลงไปซ้อมต่อที่สนาม
อัง :
นายนทีจำไว้เลยนะ อวัศยาได้แต่ร้องตะโกนตามหลังชายหนุ่มไป
นทีเมื่อได้ยินเสียของหญิงสาวก็หันมาโบกมือและส่งยิ้มอย่างหยอกล้อ อวัศยาเองก็ได้แต่ยืนมองพร้อมกับกระทืบเท้าอย่างหมั่นไส้
เมื่อรู้ว่าทำอะไรไม่ได้ก็สะบัดหน้า เดินกระแทกส้นเท้าจากไป
หญิงสาวยิ้มเมื่อนึกมาถึงตรงนี้
เหตุการณ์ทุกอย่างมันเหมือนเพิ่งผ่านไปไม่นาน
หากระหว่างเธอและเขามันเป็นสมุดบันทึกเล่มหนึ่ง ที่ผ่านมาเธอคงใช้ชีวิตอยู่โดยการใช้บันทึกเล่มนี้
เป็นสิ่งหล่อเลี้ยงจิตใจเวลาที่คิดถึงเขา ชายหนุ่มผู้อยู่ในบันทึก
โปรดติดตามตอนต่อไป.....
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น