วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2558

เธอคือแรงบันดาลใจ ตอนที่ 1

เธอคือแรงบันดาลใจ 

เสียงโทรศัพท์ที่ดังปลุกคนที่กำลังนอนให้ตื่น ท่ามกลางอากาศที่เหน็บหนาวในเช้ามืดของวันปีใหม่

            กุ้ง : อัง...ตื่นหรือยัง  เสียงปลายสายถามลอดผ่านเครื่องโทรศัพท์มา

            อัง : มีเรื่องอะไรหรือเปล่ากุ้ง เล่นโทรมาปลุกฉันตั้งแต่ไก่โห่เนี่ย  คนพูดน้ำเสียงหงุดหงิดปนงัวเงีย
            กุ้ง : โทษทีจ๊ะ กุ้งแค่จะโทรมาเตือนอัง เรื่องงานรวมศิษย์เก่าโรงเรียนเย็นนี้

            อัง : งานรวมศิษย์เก่าเหรอ  ฉันทวนคำเพื่อนสาวด้วยสีหน้างงๆ ซึ่งอาจเป็นเพราะยังไม่ส่างนอนก็เป็นไปได้ แล้วดวงตาดำก็เบิกกว้างขึ้นทันทีเมื่อนึกขึ้นได้

            อัง : จริงสิ

            กุ้ง : จำได้แล้วใช่มั้ย สรุปเจอกันที่เดิมใต้ต้นหูกวางริมคลองนะ

            อัง : เดี๋ยวกุ้ง...  ยังไม่ทันที่คนฟังจะได้เอื้อนเอ่ย ปลายสายก็ถูกตัดไปเสียแล้ว

อัง : ยังคุยไม่รู้เรื่องเลยว่าจะถามสักหน่อย ต้นหูกวางต้นไหนมันมีสองต้นซะด้วยสิ ต้นหนึ่งเป็นต้นที่เธอและเพื่อนชอบมานั่งหลับเวลาพักกลางวัน ส่วนอีกต้นเป็นที่ๆ เธอได้พบเขาครั้งแรก

จุดเริ่มต้นของความรู้สึกตื่นเต้น ดีใจ ในที่สุดความปรารถนาของเธอก็กลายเป็นจริงขึ้นมา แต่ในความตื่นเต้นดีใจนั้น กลับมีความกังวลบวกกับความกลัว ซึ่งหญิงสาวพยายามเก็บซ่อนมันเอาไว้ ภายใต้ภาพความทรงจำที่งดงาม 

เธอมองออกไปนอกหน้าต่าง นึกย้อนไปถึงความทรงจำที่เก็บไว้ วันนี้ความทรงจำเหล่านั้นกำลังจะออกมาโบยบินให้เธอได้เห็นอีกครั้ง สิบปีกับการจากไปของคนในความทรงจำ วันนี้เขาจะกลับมาให้เธอได้พบอีกครั้ง
 “ เขา ผู้ซึ่งเคยบอกว่าเธอเป็น Inspiration
                                                                                                            ฟารีดา

*******************************************************************************
                                                      ตอนที่ 1

        โรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งใจกลางเมืองกรุงเทพ วันนี้เป็นอาทิตย์ที่สองของการเปิดภาคเรียนประจำปีการศึกษาใหม่ ระหว่างช่วงพักกลางวันนักเรียนแต่ละชั้นต่างพากันลงมานั่งเล่นตามร่มไม้ ม้านั่งและสนามกีฬา ในกลุ่มของนักเรียนที่มานั่งเล่นตามร่มไม้ มีนักเรียนหญิงสามคนเดินจับกลุ่มมาทางด้านหน้าของโรงเรียน เมื่อทั้งสามเดินมาถึงต้นไม้ใหญ่ริมคลอง

            กุ้ง : ฉันว่าเอาต้นนี้มั้ย ต้นใหญ่ให้ร่มเงาดีรับลองว่าแดดส่องไม่ถึง

            ริน : อืม...ก็ดีนะกุ้ง แล้วอังว่าไง เห็นด้วยกับกุ้งหรือเปล่า

            อัง : ถ้ากุ้งกับรินว่าโอเค อังก็เห็นด้วย อีกอย่างต้นนี้อยู่ไกลผู้คน คงเงียบเชียวล่ะ เหมาะกับการพักสายตาในเวลาท้องอิ่มแบบนี้ 

            กุ้ง: ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็เริ่มกันเลยนะ

กุ้งพูดขึ้นพร้อมกับวางกระเป๋าลงจากบ่ารูดซิบหยิบเสื่อออกมาปู แล้วคนทั้งสามก็พากันถอดรองเท้าวางไว้ตรงปลายเสื่อจากนั้นก็นั่งหันหลังพิงกันพร้อมเหยียดขายาว

            ริน : อังได้อ่านเรื่องรามเกียรติ์ ตอนศึกไมยราพ หรือเปล่า

            อัง : เพิ่งอ่านจบไปเมื่อวันอาทิตย์นี้เอง

            ริน อังท่องให้เราฟังหน่อยได้สิเราอยากฟัง เสียงของอังเพราะเวลาท่อง 

            อัง : ได้สิ เราพอจำได้ลางๆ แล้วคนถูกขอก็พยักหน้ารับพร้อมกับเอ่ยบทเสียเจื้อยแจ้ว 
                        เมื่อนั้น                         พระยาไมยราพยักษี
ครั้นเสร็จแกว่งกล้องมณี                                    อสุรีก็เหาะกลับมาฯ
ครั้นถึงยืนอยู่แต่ไกล                             แอบพุ่มพระไทรใบหนา
เห็นหมู่วารโยธา                                                มิได้ตรวจตราแก่กัน

กุ้ง : เอ๊ะ! มีใครนั่งอยู่ตรงริมน้ำฝั่งโน่นด้วยล่ะ  กุ้งเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นเสื้อสีขาวที่อยู่อีกฝั่งของคลอง

            อัง : เด็กผู้ชายหรือเปล่า นอนเหยียดขายาวสบายใจเชียว

            ริน : นั่นมันนายนที ที่เรียนอยู่ห้องเดียวกับเรานี่

            อัง : นทีเหรอ

            ริน : ใช่...นที นั่งโต๊ะข้างหลังอังยังไงล่ะ

            อัง : เราไม่เคยเห็นคุ้นหน้าเลย

            ริน : จะคุ้นได้ยังไง ในเมื่อเขานั่งอยู่ข้างหลังอังตลอด ถ้าอังมองเห็นเขาจากตาหลังสิแปลก (555) แถมเขายังชอบนั่งหลับวิชาพระพุทธศาสนาอีกด้วยนะ

            กุ้ง : ไม่ใช่แค่นทีหรอกที่หลับ เราก็หลับด้วย (หึๆ หึๆ )

 ในตอนนั้นฉันได้แต่ยิ้มแห้งๆ ไปกับคำพูดของเพื่อนทั้งสอง แต่ภายในใจก็ได้แต่คิดถึงเรื่องราวของคนที่ชื่อ นที และนั่นเป็นที่ที่ฉันได้เจอกับนทีครั้งแรกถึงแม้เจ้าตัวเขาจะไม่รู้ก็ตาม

นทีเป็นเด็กที่เติบโตมาจากต่างจังหวัด พอเรียนจบมัธยมต้นพ่อกับแม่ก็ให้เข้ามาเรียนต่อที่กรุงเทพ พ่อของนทีเป็นเจ้าของปางไม้ที่ใหญ่ที่สุดของภาคเหนือ ส่วนแม่นั้นเป็นเจ้าของร้านขายของฝากที่มีสาขามากกว่า 10 แห่ง

            อัง : นี่ นายชื่อนทีเหรอ หญิงสาวซึ่งนั่งอยู่โต๊ะด้านหน้า หันกลับไปถามคนที่เพิ่งเข้ามาใหม่ที่นั่งอยู่ด้านหลัง ด้วยสายตาเป็นมิตร 

            นที : ใช่...เธอชื่ออวัศยาใช่มั้ย

            อัง : เรียกว่าอังเฉยๆ ก็ได้ ว่าแต่นายรู้จักชื่อฉันด้วยเหรอ

            นที : แน่นอนสิ...ก็เราอยู่ห้องเดียวกัน แถมเธอยังนั่งอยู่หน้าเรา จะไม่ให้รู้จักชื่อเธอได้ไง
            อัง : ก็จริงเนอะ...แต่ฉันกลับไม่รู้จักชื่อนายเลย ทั้งๆ ที่เรานั่งอยู่ใกล้กัน ถ้าไม่เพราะเพื่อนบอกเธอก็คงไม่รู้และไม่สังเกตุด้วยซ้ำ หญิงสาวคิดหลังตอบชายหนุ่มเสร็จแล้ว 

            นที : เราขึ้นรถกลับบ้านพร้อมกันทุกวัน ตอนเช้าก็ออกมารอรถพร้อมกัน บ้านก็อยู่หมู่บ้านเดียวกัน เธอไม่คุ้นหน้าเราบ้างเลยเหรอ

            อัง : จริงเหรอ! ฉันไม่เคยสังเกตเลย คนพูดทำตาโตพร้อมกับจ้องหน้าชายหนุ่ม

            นที : เฮ้ย…! เธอนี่ สิ้นคำพูดชายหนุ่มก็ส่ายหน้า

            อัง : เถอะน่า ยังไงวันนี้ฉันก็รู้จักนายแล้ว ต่อไปเราก็คงจะสนิทกันมากขึ้น 

หญิงสาวพูดจบก็ยิ้มเต็มสองแก้มให้กับชายหนุ่ม แต่พอนึกขึ้นได้ก็หันไปคว้ากระเป๋าที่อยู่ใต้โต๊ะขึ้นมาวางบนตัก ก่อนจะลงมือค้นหาบางสิ่งบางอย่าง ชายหนุ่มนั่งมองหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าสงสัยแต่ก็ไม่ได้เอ่ยถาม เมื่อหญิงสาวได้ของบางอย่างในกระเป๋าแล้วก็ยื่นส่งให้ชายหนุ่มทันที

            อัง : ของขวัญต้อนรับมิตรภาพของเรา

            นที : ปากกา ชายหนุ่มทำหน้างงเมื่อเห็นของที่หญิงสาวยื่นให้ จากนั้นก็ยิ้มจนเห็นฟันขาว

นทีถูกส่งให้เข้ามาเรียนในกรุงเทพ โดยพักอยู่กับพี่สาวและพี่เขยซึ่งอยู่หมู่บ้านเดียวกันกับฉัน  ทุกเช้าเราสองคนมักจะไปขึ้นรถพร้อมกันและทุกเย็นเราสองคนก็จะกลับบ้านพร้อมกันเสมอ นอกเสียจากวันไหนที่นทีซ้อมบอลกับเพื่อนฉันก็ต้องกลับคนเดียว

ในทุกๆ เช้าของวันหยุด นทีมักจะมีข้าวเหนียวหมูปิ้งมาให้ฉันอยู่บ่อยครั้ง ฉันไม่รู้หรอกว่าเขาทำแบบนั้นทำไม อาจเป็นเพราะนิสัยที่เขาชอบดูแลคนอื่น ทำให้คนรอบข้างมีความสุข เพื่อนๆ ในห้องต่างก็ชอบเขา หลายครั้งที่ฉันเคยถามว่าเขาทำแบบนั้นทำไม เขาก็ตอบแบบกวนๆ ว่า ก็แค่อยากทำ เห็นคนอื่นยิ้มแล้วสุขดี  

 3 ปีที่รู้จักกัน มิตรภาพสายสัมพันธ์เริ่มก่อตัว ความรู้สึกที่เกิดขึ้นภายในใจมันทำให้ฉันเกิดความสงสัยว่า ฉันรักเขาหรือเปล่า

            นที : อังระวัง! เสียงร้องตะโกนดังข้ามฟากมาจากกลางสนามฟุตบอล หยุดการเดินของหญิงสาวให้หันไปตามเสียงเรียก

            ตุ๊บ…! โอ้ย...! หญิงสาวร้องเสียงดังพร้อมกับมือกุมหัวตัวเอง ร่างบางถึงกับนั่งทรุดลงทันที

            นที : โดนจนได้ ว่าแล้วเชียว ชายหนุ่มสบถกับตัวเอง ก่อนจะวิ่งมายังจุดที่บอลหล่นใส่หญิงสาวเจ็บมากหรือเปล่าอัง ชายหนุ่มถามน้ำเสียงมีแววห่วงใย

อัง : ลองโดนดูบ้างสิ ทีจะได้รู้ว่าเจ็บหรือเปล่า   คนร่างบางตอบกลับแววตามีความโกรธอยู่ไม่น้อย

            นที : ไม่เอาล่ะ ทีไม่อยากหัวปูดเดี๋ยวไม่หล่อ น้ำเสียงที่พูดมีแววหยอกล้อให้คนฟังมีอารมณ์ขัน เผื่อจะคลายความโกรธจากสายตาเธอลงได้บ้าง แต่ก็ดูเหมือนจะไม่เป็นผลแถมแววความโกรธจะเพิ่มขึ้นอีกด้วย

            นที : เราล้อเล่นน่ะอัง อย่าโกรธทีเลยนะ นี่ทีก็พยายามร้องบอกอังให้ระวังแล้วนะแต่ก็...

            อัง : แต่ก็โดนจนได้ นี่ถ้าอังไม่ได้ยินเสียงทีร้องเรียก อังคงไม่หยุดเดินแล้วบอลก็คงจะไม่โดนหัวอังหรอก  คนเจ็บรัวคำพูดใส่คนฟังเป็นชุด จนคนฟังได้แต่นั่งยิ้มเกาหัวแกร็กๆ

            นที : แต่ทีก็ช่วยอังไม่ให้โดนเยอะนะ ถ้าไม่ร้องบอกอังอาจเจ็บกว่านี้หลายเท่า

            อัง : จ๊ะ... อังจะถือว่าเป็นพระคุณอย่างสูง ที่ทีช่วยอังให้เจ็บตัวน้อยลง

            นที : ไม่เห็นต้องประชดกันเลย

            อัง : แล้วลูกตะกี้ใครเป็นคนแตะ

            นที : อ๋อ...คนแตะเหรอ...เออ...คือ

            อัง : ใคร...?   ชายหนุ่มยิ้มแห้งๆ กับหญิงสาวก่อนจะก้มหน้าตอบคำถามน้ำเสียงแผ่วเบา

            นที :  เราเอง  คนฟังเบิกตากว้างเมื่อรู้ว่าใครคือต้นเหตุที่ทำให้เธอเจ็บตัว 

             อัง : ทีนะที 

            นที : ใช่อัง เรานทีเพื่อนอังไง  พูดจบชายหนุ่มก็ร้องเสียงดัง เมื่อมือบางเอาบอลทุ่มใส่บนไหล่ อีกทั้งยังดึงหูทั้งสองข้าง

            อัง : ตลกใช่มั้ย เห็นอังเจ็บตัวแล้วมีความสุขเหรอ อย่างนี้สมควรดึงให้หูหลุดติดมือเลยดีมั้ย ถึงแม้ปากจะพูดแต่มือสองข้างก็ยังคงดึงหูของชายหนุ่มไม่ยอมปล่อย

            นที : ไม่ดีอัง โอ้ยๆ พอแล้ว ทีเจ็บแล้วทีขอโทษต่อไปทีจะไม่ทำอีกแล้ว ไม่พูดกวนประสาทอังอีก จะทำตัวดีๆ และที่สำคัญจะมองอังคนเดียวด้วย  คนโมโหชะงักมือตาโตทันที เมื่อได้ยินประโยคสุดท้ายที่ชายหนุ่มพูด

            อัง : ทำไมจะต้องมองอังคนเดียวด้วย

            นที : ก็ถ้าไม่มองอังทีอาจแตะบอลโดนอังเจ็บตัวอีกไง

อัง : เหรอ...คนพูดลากเสียงยาวเหมือนไม่ค่อยเชื่อในสิ่งที่ชายหนุ่มบอก 

นที : จริงๆ แล้วมันมีอีกเหตุผมหนึ่ง ไม่รู้อังจะโกรธหรือเปล่าถ้ารู้

อัง : ก็ลองบอกมาก่อนสิ แล้วอังจะบอกว่าโกรธหรือเปล่า

นที : อังคือแรงบันดาลใจของเรา เคยได้ยินป่ะ Inspiration ทุกครั้งที่เห็นหน้าอังทีจะมีความรู้สึกบางอย่าง มันเป็นเหมือนแรงผลักดันที่ทำให้ทีอยากออกไปค้นหาคำตอบ 

            อัง : จริงเหรอ....คนตาโตถามกลับน้ำเสียงตื่นเต้นจนคนฟังรู้สึกได้ แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มและสายตาคู่นั้นแล้ว มันทำให้ความเชื่อลดน้อยถอยลงไป  

             อัง : นี่ล้ออังเล่นใช่มั้ย 

            นที : โอ้ย!... อังอย่าๆ ไม่ได้ล้อเล่นปล่อยมือก่อนนะ อังคนดีนะ

คนพูดทำสีหน้าและแววตาละห้อย ทำให้คนที่มองถึงกับนึกถึงหน้าของ หมูปิ้ง สุนัขพันธุ์ปั๊ก(Pug)ที่ตนเลี้ยงไว้ เวลามันต้องการเล่นกับหญิงสาวหรือเรียกร้องความสนใจจากเจ้าของ มันมักจะทำตาละห้อยและเมื่อเห็นสายตานั้น เธอมักจะใจอ่อนและยอมเล่นกับมันทุกครั้ง

            นที : เฮ้ย! ค่อยยังชั่วหน่อย พร้อมกับเอามือสองข้างลูบหูตัวเอง  หญิงสาวลุกขึ้นพร้อมกับปัดเศษหญ้าออกจากกระโปรง โดยมีชายหนุ่มลุกตามและยืนดูอย่างไม่วางตา

            อัง : ดูสิ กระโปรงอังเปื้อนหมดแล้ว

            นที : ไม่เปื้อนมากหรอกแค่นิดหน่อยเอง คนอื่นเขาไม่รู้หรอกว่าอังสะดุดล้ม ใบหน้าคมยังคงยิ้มให้กับหญิงสาวอย่างหยอกล้อ

            อัง : อยากโดนอีกใช่มั้ย

            นที : ไม่เอาๆ ไม่อยากโดน

อัง : ถ้าไม่อยากโดนก็เลิกพูดล้อเล่นซะที

นที : ก็ได้ๆ ไม่ล้อเล่นแล้ว คราวนี้จะพูดจริงล่ะ ทำไมอังถึงเดินคนเดียวรินกับกุ้งแห้งไปไหน ปกติสองคนนั้นจะประกบอังไม่ให้คลาดสายตาไม่ใช่เหรอ

            อัง : สองคนนั้นอยู่ห้องสมุด อังจะเอารายงานไปส่งที่ห้องพักครูก็เลยให้สองคนนั้นรอที่นั่น

            นที : อ๋อ...อังทำรายงานเสร็จแล้วเหรอ ทำไมทำเสร็จเร็วจังทียังไม่เสร็จเลย

             อัง : ทีจะทำเสร็จได้ไง ถ้ายังแตะบอลอยู่อย่างนี้ อีกไม่กี่อาทิตย์ก็จะสอบวัดผลปลายภาคแล้ว หนังสือน่ะอ่านบ้างหรือยัง

            นที : อ่านเหมือนกันแต่ก็ยังจำไม่ค่อยได้ อังติวให้หน่อยสิ

            อัง : ไม่เอาหรอก ทำไมทีไม่ลองบอกหนูดาวห้องหนึ่งติวให้ล่ะ แฟนทีไม่ใช่เหรอ

            นที : ใครบอก...?

            อัง : เจ้าตัวเขาแหละที่บอก ป่านนี้คนเขารู้ทั่วโรงเรียนแล้วมั้ง

            นที : แฟนทีที่ไหน มีคนเดียวแหละที่อยากให้เป็น

            อัง : ใคร?

คนได้ฟังตาโตขึ้นมาอีกครั้งจนคนพูดถึงกับยิ้มเมื่อเห็นใบหน้าหวานของคนถาม สายตาทั้งสองประสานกัน ภายใต้แววตานั้นมีความรู้สึกบางอย่างซ่อนอยู่ คนตาโตถึงกับหัวใจเต้นแรงเมื่อเห็นสายตาของชายหนุ่มที่จ้องมองมา ถึงแม้สายตานั้นจะมีแววหยอกล้อ แต่ก็มีบางสิ่งบางอย่างปนอยู่ในสายตาคู่นั้น

            นที : ก็ไม่บอกดีกว่า เอาไว้อังรับปากว่าจะติวให้ทีก่อนแล้วถึงจะบอก  ชายหนุ่มพูดจบก็หันหลังวิ่งไปเก็บบอลที่หญิงสาวใช้ขว้างใส่ จากนั้นก็กลับลงไปซ้อมต่อที่สนาม

            อัง : นายนทีจำไว้เลยนะ  อวัศยาได้แต่ร้องตะโกนตามหลังชายหนุ่มไป
 นทีเมื่อได้ยินเสียของหญิงสาวก็หันมาโบกมือและส่งยิ้มอย่างหยอกล้อ อวัศยาเองก็ได้แต่ยืนมองพร้อมกับกระทืบเท้าอย่างหมั่นไส้ เมื่อรู้ว่าทำอะไรไม่ได้ก็สะบัดหน้า เดินกระแทกส้นเท้าจากไป

หญิงสาวยิ้มเมื่อนึกมาถึงตรงนี้  เหตุการณ์ทุกอย่างมันเหมือนเพิ่งผ่านไปไม่นาน หากระหว่างเธอและเขามันเป็นสมุดบันทึกเล่มหนึ่ง ที่ผ่านมาเธอคงใช้ชีวิตอยู่โดยการใช้บันทึกเล่มนี้ เป็นสิ่งหล่อเลี้ยงจิตใจเวลาที่คิดถึงเขา ชายหนุ่มผู้อยู่ในบันทึก

โปรดติดตามตอนต่อไป.....



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น