วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2558

เธอคือแรงบันดาลใจ ตอนที่ 3

           
           ริน : ในที่สุดก็สอบเสร็จซะที วันสุดท้ายของการใส่ชุดนักเรียน เทอมหน้าเราจะได้ใส่ชุดนักศึกษาแล้ว

            กุ้ง : แหม่! ไม่เห่อเลยเนาะ ว่าที่บัณฑิตอักษรศาสตร์

            ริน : ก็คนมันดีใจนิหรือเธอไม่ดีใจ

            กุ้ง : พูดไม่ออกเลยล่ะ ที่จริงความรู้สึกตอนนี้มันยากที่จะบรรยายออกมาเป็นคำพูด แล้วอังล่ะเงียบเชียว  คนพูดหันไปถามเพื่อนอีกคนที่นั่งนิ่งไม่ยอมพูดยอมจาตั้งแต่ออกจากห้องสอบ

            อัง : เหมือนเธอสองคนนั่นแหละ ไม่มีคำบรรยายในตอนนี้

            ริน : พอคิดว่าจะไม่ได้เจอหน้ากันเหมือนทุกวัน มันก็ใจหายยังไงไม่รู้นะ

            กุ้ง : สัญญานะว่าจะติดต่อกันตลอด ไม่ว่ายังไงจะไม่เงียบไป

            ริน : อืมสัญญา อังล่ะ...

            อัง : สัญญาเหมือนกัน

            กุ้ง : พวกเราจะเป็นเพื่อนกันตลอดไปใช่มั้ย คนพูดน้ำเสียงเริ่มเศร้าบวกความไม่แน่ใจในคำตอบที่จะได้รับ

            อัง : แน่นอนอยู่แล้ว โชคชะตาให้เรามาเจอกันเป็นเพื่อนกัน ถึงแม้จะอยู่ห่างกันแค่ไหนแต่ความเป็นเพื่อนเราจะยังคงอยู่ ไม่มีอะไรมาตัดสายใยนี้ไปได้หรอก

            ริน : อังพูดถูก ไม่มีอาวุธชนิดไหนมาทำลายความสัมพันธ์ของเราได้ เราจากกันวันนี้เพื่อจะได้เจอกันอีกในวันหน้า เพราะฉะนั้นอย่าเศร้าใจไปเลย

            กุ้ง :  อังได้คุยกับนทีบ้างหรือยัง ตั้งแต่มีข่าวเราไม่ค่อยได้คุยกับนทีเลย

            ริน : เราก็เหมือนกัน ได้ข่าวว่าจะไปเรียนต่ออเมริกามันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า

            อัง : เราก็ไม่ได้คุย เขาคงจะยุ่งๆ ล่ะมั้งช่วงนี้ ส่วนเรื่องเรียนต่อเราก็ได้ข่าวเหมือนกัน

            กุ้ง : อังน่าจะลองคุยกับนทีดูนะ บางทีเรื่องมันอาจไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดก็ได้

            อัง : อย่าเลยดีกว่าให้มันเป็นแบบนี้แหละดีแล้ว

            ริน : อังแน่ใจเหรอว่าอยากให้มันจบแบบนี้ ในเมื่อทั้งสองฝ่ายยังมีเรื่องคาใจกันอยู่

            อัง : เราก็ไม่ได้มีเรื่องคาใจอะไรนิ ก็รู้ๆ อยู่แล้วว่าเราไม่ได้รู้สึกอะไรกับนที
 ถึงแม้ปากจะบอกออกไปแบบนี้แต่ในใจกลับร้อนรุ่ม เหมือนมีใครเอาน้ำมันมาราดและจุดไฟเผา ซึ่งใครคนที่ว่านั้นก็ไม่ใช่คนอื่นที่ไหน นอกจากตัวเธอเอง

            นที : ขอบใจนะอัง ที่บอกความรู้สึกของอังให้เราได้รู้

เสียงของชายหนุ่มทำให้หัวใจของหญิงสาวกระตุกวูบ ใบหน้าซีดเผือดลงทันที เธอไม่รู้ว่าชายหนุ่มมายืนอยู่ด้านหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ เพื่อนสาวทั้งสองคนของเธอก็มีสีหน้าตกใจไม่แพ้กัน อวัศยาไม่กล้าแม้แต่จะหันหน้ามามองหน้าเจ้าของน้ำเสียงทุ่ม คำพูดที่เธอเอ่ยออกไปเมื่อสักครู่เขาคงได้ยินมันหมดแล้ว และเขาก็คงจะเชื่อในประโยคเหล่านั้น คำพูดที่เธอเป็นคนพูดออกมาจากปาก แต่เขาคงไม่รู้ว่ามันไม่ได้ออกมาจากใจเธอเลยสักนิด

            นที : อังพูดความในใจแล้วต่อไปฟังเราบ้างนะ อังไม่จำเป็นต้องตอบแค่ฟังเราพูดก็พอ ชายหนุ่มเว้นวรรคเล็กน้อยก่อนจะพูดประโยคต่อไป

ตลอดเวลา 3 ปี อังคือผู้หญิงคนเดียวที่เรามองหา ทุกครั้งที่เห็นหน้าอัง มันทำให้เราอยากออกไปค้นหาความหมายของคำว่ารัก เวลาที่อังยิ้มมันทำให้เรามองเห็นความอบอุ่น จนอยากเข้าไปยืนอยู่ใกล้ๆ  เสียงหัวเราะของอังทำให้เรานึกถึงบทเพลงที่กำลังขับขาน ที่เราเคยบอกว่าอังคือแรงบันดาลใจ เราพูดจริงนะ อังคือผู้หญิงคนเดียวที่เรามองเฝ้ามองหาและอยากเจอทุกเช้า ความสุขของเราคือการได้เห็นหน้าอัง
แต่เวลามันผ่านไปเร็วนัก 3 ปี แห่งความสุขมันช่างสั้น เรายังตั้งตัวไม่ทันกับการเปลี่ยนแปลง ชีวิตที่ไม่มีอังไม่ได้เห็นหน้า ไม่ได้เจอรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ต่อไปเราคงไม่ได้เห็นความรัก ความอบอุ่น และเพลงที่เราชอบฟังอีกแล้ว แต่สำหรับอังการไม่ได้เจอหน้าเรามันคงเป็นเรื่องที่ดี
คนฟังถึงกับสะอื้นกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ น้ำตาแห่งความปลื้มปิติ ดีใจ เสียใจ และผิวหวังต่างไหลรวมเป็นหยดเดียว เธอไม่รู้ว่าจะต้องกล่าวคำใดออกไป เพื่อให้สมกับความรู้สึกที่เธออยากจะบอกเขา ตลอดเวลาเธอเองก็ไม่ต่างจากเขาเลย ในทุกเช้าการได้เห็นหน้าเขานั้นคือของขวัญที่มีค่า รอยยิ้มของเขาคือสิ่งลบเลือนเรื่องร้ายๆ ที่เกิดขึ้น น้ำเสียงเขาคือความอบอุ่นที่เธอคอยเฝ้ามองหา เสียหัวเราะของเขาคือยาที่สมานใจเธอ

            นที :  ต่อไปนี้เราคงจะไม่ได้เจอกันอีก ยังไงเราก็ขออวยพรให้อังโชคดี จากกันวันนี้ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้เจอกันอีกหรือเปล่า จากนี้ไปไม่มีเราแล้วอังคงไม่ต้องบ่นและรำคาญเสียงของเราอีก

            อัง : นที หญิงสาวเรียกชื่อชายหนุ่มแผ่วเบา อังอัง

            นที : อังรู้แล้วใช่มั้ยว่าเราจะไปอเมริกา เราจะไปเรียนต่อที่โน่น หญิงสาวพยักหน้าเป็นคำตอบ

นที: เราจะเดินทางไปพร้อมกับหนูดาว

เหมือนทุกอย่างหยุดหมุนหัวใจของหญิงสาวแหลกสลาย จบแล้วสินะ ไม่เหลืออะไรแล้ว เขาไปจากเธอแล้วจริงๆ ชายหนุ่มเดินจากไปพร้อมกับหัวใจของอีกดวงที่แหลกสลาย ท้องฟ้าที่ไม่มีเค้าว่าฝนจะตก ตอนนี้กลับมีหยาดฝนลงมาประปราย หญิงสาวยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ร้องไห้ไปพร้อมกับสายฝน จะอีกนานมั้ย กว่าความเจ็บปวดครั้งนี้จะลบเลือน และอีกนานเท่าไหร่เธอถึงจะได้ยินเสียงแห่งความอบอุ่นจากเขาอีกครั้ง หรือว่าบางทีมันอาจไม่มีวันนั้น วันที่เธอและเขาจะได้กลับมาพบกันอีกครั้ง

            กุ้ง : อัง…! เสีงเรียกที่คุ้นหูฉุดหญิงสาวให้หลุดจากภวังค์ของความคิด อวัศยาหันไปมองตามเสียงเรียก ซึ่งอยู่อีกฝั่งของคลอง นรินยืนโบกมือกวัดแกว่งให้กับหญิงสาวอีกฟากของฝั่งคลอง

            ริน : ทางนี้ ไปยืนทำไมอยู่ต้นโน้น ต้นนี้ต่างหาก นรินร้องบอกเพื่อนสาวพร้อมกับชี้นิ้วไปที่ต้นไม้ที่อยู่ด้านหลัง อวัศยาพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ก่อนจะเดินมาหยุดอยู่ที่ต้นหูกวาง ที่ตอนนี้เริ่มจะอายุมากแล้ว มือบางยื่นออกไปจับที่ลำต้นแล้วลูบเบาๆ  เวลาสิบปีช่างผ่านไปอย่างทรมานยิ่งนัก หญิงสาวไม่คิดว่าตนจะได้กลับมายืนใต้ต้นไม้นี้อีกครั้ง หากเพื่อนทุกคนมากันครบนั่นก็หมายความว่า เธอจะได้พบกับเขาด้วยเช่นกัน

            ริน :  ทำไมถึงได้ไปยืนอยู่ฝั่งนั้น พวกเรานัดกันฝั่งนี้ไม่ใช่เหรอ

            อัง : แต่ต้นหูกวางต้นนั้นเป็นที่ประจำเรานะ พวกเราไปนอนบ่อยๆ จำไม่ได้เหรอ

            ริน : จำได้ แต่รินกับกุ้งนัดกันฝั่งนี้ กุ้งไม่ได้บอกอังเหรอว่าเป็นฝั่งตรงข้าม

            อัง : เปล่า ยายกุ้งบอกแค่ว่าใต้ต้นหูกวาง

            ริน :  อ้าว…! ยังไงนิยายกุ้ง

            กุ้ง : เออฉันผิดเองที่บอกแกตกไปคำหนึ่ง ฉันไม่ได้บอกว่าฝั่งตรงข้าม

            ริน :  เฮ้ย…! ฉันก็ว่ายุแล้วเชียว แกนิมันจริงๆ เลย ฉันไม่รู้จะสรรหาคำอะไรมาว่าแกแล้ว

            อัง : พอเถอะๆ อย่าทะเลาะกันเลย พวกเราไม่ได้มาเพื่อทะเลาะกันนะ

กุ้ง : จริงด้วย เราเข้าไปในงานกันเถอะ ป่านนี้คนอื่นคงมากันเต็มงานแล้วมั้ง

            ริน : นี่... บอกตามตรงนะฉันอดตื่นเต้นไม่หายที่จะได้เจอเพื่อนๆ เมื่ออาทิตย์ที่แล้วฉันโทรนัดยายนุชจรีและก็กลุ่มของแพรวาด้วย ไม่ได้เจอกันตั้ง 10 ปี ไม่รู้ป่านนี้ทุกคนจะเป็นยังไงกันบ้าง หน้าตาจะยังเหมือนตอนเป็นเด็กมัธยมหรือเปล่าก็ไม่รู้เนอะ

            กุ้ง : ฉันก็เหมือนกัน ตื่นเต้นจนขาสั่น ใจสั่น ไปทั้งตัวแล้ว

            ริน : ไม่รู้ว่าห้องเราจะมาครบทุกคนรึเปล่า

            กุ้ง : นั่นนะสิ หวังว่าคงจะครบนะ นรินและกัลยามองหน้ากันแววตามีความตื่นเต้นระคนดีใจ ทั้งสองสาวรู้ดีว่าหากเพื่อนมากันครบนั้นก็หมายความถึงใครบางคนด้วยเช่นกัน และนั่นยิ่งทำให้อวัศยารู้สึกถึงหัวใจที่เริ่มจะเต้นแรงขึ้นมาเรื่อยๆ หญิงสาวต้องพยายามข่มความรู้สึกตื่นเต้นเอาไว้ เพื่อไม่ให้หัวใจของเธอออกมาโลดเล่นอยู่ด้านนอก

บรรยากาศภายในงานเลี้ยงรุ่นเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ภายในงานถูกประดับประดาไปด้วยสีสันสดใส ดอกไม้ ต้นไม้ ธงสีประจำโรงเรียน ครู อาจารย์ต่างพากันยิ้มแย้มพูดคุยกับลูกศิษย์ของตน ใครเป็นใครบ้างนั้นยากที่จะจำได้ เวลาเปลี่ยนทุกคนก็เปลี่ยนไปตามเวลา แต่มีสิ่งหนึ่งที่เหล่าลูกศิษย์ไม่เคยลืมเลือนไปเลย นั่นก็คือ คำสอนของครูอาจารย์ทุกท่านที่พร่ำสอน จนทำให้ชีวิตของพวกเขามีวันที่ดีในวันนี้
            แก้ว : อัง ริน กุ้ง พวกเธอมากันแล้วเหรอ แก้วอดีตหัวหน้าห้องของสามสาวเอ่ยทักขึ้นเมื่อทั้งสามเดินเข้ามาในงาน

            ริน : ใช่จ๊ะ พวกเราเพิ่งมาถึงแล้วแก้วมานานหรือยัง

            แก้ว : สักพักแล้วล่ะจ๊ะ นี่ห้องเรารวมกลุ่มอยู่ทางโน้น ตามฉันมาสิ

            กุ้ง : แล้วห้องเรามากันครบมั้ย

            แก้ว : อืม ยังไม่ครบนะ ขาดอยู่หลายคนเหมือนกัน แต่ไม่แน่บางคนอาจยังมาไม่ถึงก็ได้

            ริน : เหรอ แล้วยังไม่ทันที่นรินจะได้ถามต่อเสียงของแก้วก็เอ่ยขัดขึ้น

            แก้ว : นี่ทุกคน เพื่อนเรามาเพิ่มอีกแล้ว อัง ริน และก็กุ้งแห้ง

 หญิงสาวทั้งสามมองหน้าเพื่อนที่นั่งอยู่รอบโต๊ะ บ้างก็ยืนจับกลุ่มคุยกัน ทุกคนต่างหันมามองและยิ้มให้กับคนทั้งสาม เพื่อนสาวหลายคนเดินเข้ามากอด เสียงหัวเราะและรอยยิ้มของวันเก่าๆ ได้กลับมาปรากฏในสายตาของอวัศยาอีกครั้ง เธอยังจำความรู้สึกแบบนี้ได้ดีไม่เคยลืม นรินและกัลยาต่างพากันแวบไปคุยตรงโน้นทีตรงนี้ที จนบางทีก็เหมือนคนทั้งคู่หายตัวได้แต่ก็นั่นแหละมันเป็นเอกลัษณ์ของพวกเธออยู่แล้ว

            แพร : นี่อัง เราเสียใจเรื่องคุณพ่อเธอด้วยนะ

            อัง : จ๊ะ...เราทำใจได้แล้วล่ะ

            แพร : แล้วอังได้ข่าวนทีบ้างไหม

            อัง : อังไม่ได้ติดต่อนทีเลยตั้งแต่เรียนจบ แล้ว...แพรได้ข่าวนทีบ้างหรือเปล่า

            แพร : เห็นว่าอยู่อเมริกา เดือนที่แล้วยศบินไปยังได้พบเลย

            อัง : จริงเหรอ

            แพร :  จ๊ะ...ได้ยินว่าจะกลับมาเมืองไทยแล้ว แต่ไม่รู้ว่าจะมางานด้วยหรือเปล่านะ นทีเขาไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ตอนนี้เขากลายเป็นคุณพ่อเต็มตัวเลยทีเดียวล่ะ ใบหน้าของคนฟังซีดเผือดลงทันที คุณพ่ออย่างนั้นเหรอ อวัศยาทวนคำแพรวาเบาๆ ในลำคอ

แพร : ก็อย่างว่าแหละนะ สิบปีที่จากกันอะไรๆ มันก็เปลี่ยนแปลงไปหมด ขนาดคนที่อยู่กับเราตลอดเวลา คนที่บอกว่ารักเราจริงๆ เขายังเปลี่ยนไปเลย นับประสาอะไรกับคนที่อยู่ไกลแถมไม่ได้ติดต่อกันด้วย หญิงสาวพูดแล้วก็หันไปมองเพื่อนชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่อีกฝั่งของมุมโต๊ะ

              อัง : ก็จริงอย่างที่แพรวาพูด เวลามันเป็นตัวแปรสำคัญสำหรับชีวิต เพราะเวลาเปลี่ยนไปทุกนาทีแล้วนับประสาอะไรกับใจของคนเรา 

มันเป็นความผิดพลาดของเธอเองในครั้งนั้นที่ทำให้เรื่องเป็นแบบนี้ เธอเลือกที่จะสูญเสียเขาไปจะโทษใครได้ นอกจากโทษตัวเองและหากเธอจะต้องเจ็บปวด มันก็เป็นความเจ็บปวดที่เธอเลือกจะให้มันเกิดขึ้น หญิงสาวนิ่งคิดถึงความจริงในข้อนี้

แพร : อัง...คิดอะไรอยู่เหรอ เงียบเชียว แพรวาพูดพร้อมกับเอื้อมมือไปจับแขนอวัศยาเบาๆ

อัง : อ๋อ...เราคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยนะ ไม่มีอะไรหรอก

แพร : เรานึกว่าอังมีเรื่องอะไรที่ไม่สบายใจ เราเห็นสีหน้าและแววตาอังเศร้าๆ เราพูดอะไรให้อังไม่สบายใจหรือเปล่า

อัง : เปล่าหรอก... แค่รู้สึกคอแห้งนิดหน่อย เราขอไปเอาน้ำสักแก้วก่อนนะ หญิงสาวลุกขึ้นจากที่นั่งพร้อมกับเดินไปหยิบแก้วบนโต๊ะที่ถูกจัดวางเรียงไว้ แก้วใสใบสูงภายในมีน้ำสีแดงเข้มอยู่เกือบเต็มแก้วถูกยกขึ้นแตะริมฝีปากบางสีชมพู จิตใจที่ล่องลอยของเธอตอนนี้ กำลังขาดที่ยึดเหนี่ยวมันเคว้งคว้างอย่างไร้จุดหมาย 

            ยศ : เฮ้ย…! นที มาเงียบเชียว ไม่ให้ซุ่มให้เสียงบ้างเลย เมื่อได้ยินคำพูดประโยคนั้น ร่างบางถึงกับหยุดนิ่งราวกับถูกมนต์สะกด หัวใจของหญิงสาวเต้นราวกับว่ามันกำลังจะออกมาด้านนอก แก้วที่จรดอยู่ริมฝีปากถูกลดลงมาแทบจะทันที

            นที : ก็เราไม่ใช่คนดังนิ เลยไม่จำเป็นต้องตีฆ้องร้องป่าวอะไร 

ชายหนุ่มร่างสูงตอบกลับ ผมดำเป็นมันถูกปัดให้เข้าทรง ใบหน้ายิ้มแย้มแววตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน อวัศยาหันมองใบหน้านั้นด้วยความคิดถึงและห่วงหา ชายหนุ่มยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนไปเลย ไม่ว่าจะเป็นรอยยิ้มที่คุ้นเคย แววตาที่แสนอบอุ่น ท่าทีการพูดจา เขายังคงเป็นนทีที่เธอรู้จักเมื่อสิบปีก่อน แต่ว่า

            แพร : นทีจำเราได้มั้ย…? เราเชื่อว่านทีจำเราไม่ได้แน่ 

            นที : จำได้สิ แพรวา ทำไมเราจะจำแพรไม่ได้ ต่อให้อีกสิบปีเราก็จำเพื่อนทุกคนได้

            แพร : จริงเหรอถ้าอย่างนั้นนทีคงจำนุชจรีได้  รัตนา ลูกศร รวมถึงอวัศยาได้ด้วยสิ คนถูกเอ่ยชื่อคนสุดท้ายสะท้านเล็กน้อย เมื่อถูกเอ่ยชื่อแบบโดยไม่ทันตั้งตัว

            นที : จำได้สิ โดยเฉพาะ ชายหนุ่มแบนสายตามองหน้าคนตัวเล็กที่ยืนอยู่อีกมุมหนึ่งของงาน ซึ่งตอนนี้กำลังยืนตัวสั่น จนสังเกตได้จากแก้วที่ถืออยู่ในมือไหวจนเห็นได้ชัด

            นุช : โดยเฉพาะเราใช่มั้ยล่ะนที สาวผิวสีน้ำตาลดวงตาคมเข้มเอ่ยขึ้นขัดจังหวะการพูดของชายหนุ่ม
            นที : ใช่จะให้ลืมได้ยังไง ในเมื่อนุชเป็นคนติวหนังสือให้เราก่อนเรียนจบ

            นุช : ก็ลองนทีจำเราไม่ได้สิ เราจะทวงค่าติวที่ติดเราไว้คราวนั้นพร้อมดอกเบี้ยคืนให้หมด หญิงสาวพูดจบก็หัวเราะคิกๆ ให้กับชายหนุ่ม

            แพร : นี่ยายนุชอย่ามัวแต่มาขัดนทีอยู่เลย ปล่อยให้นทีเขาได้คุยกับคนอื่นบ้างเถอะ นอกจากเธอแล้วยังมีเพื่อนอีกหลายคนที่นทีเขาอยากคุยด้วย

            นุช : ตายจริง! ฉันก็ลืมไปว่าห้องเรามีสามสิบกว่าคน เอาเลยนทีอยากคุยกับใครก็คุยเลยเราไม่ขัดล่ะ และก็ถ้าอยากคุยกับใครเป็นพิเศษบอกเราได้นะ อ้าว! อัง ยืนเงียบเชียว ไม่เห็นทักเพื่อนบ้างเลย แหม่! เราน้อยใจนะนิ นุชจรีร้องทักหญิงสาวที่ยืนนิ่งอยู่อีกฟาก พร้อมกับก้าวเท้าเข้าไปหาหญิงสาว

            อัง : ก็ว่าจะทักเหมือนกัน แต่เราเห็นนุชยุ่งอยู่กับการทักเพื่อนคนอื่นๆ เราก็เลยรอก่อน

            นุช : แหม่! ทักเราเลยก็ได้ อ๋อเราเสียใจเรื่องคุณพ่ออังด้วยนะ เสียดายเราบินกลับมาช้าไปหน่อยเลยไม่ทันได้ไปร่วมงานท่าน

            อัง : ไม่เป็นไรหรอก เรื่องมันผ่านไปแล้วแต่ก็ขอบใจนะ

            นุช : ขอบจงขอบใจอะไรกัน เรานะเพื่อนกันถ้าเพื่อนไม่ช่วยเพื่อนแล้วใครจะช่วยล่ะ จริงมั้ย

            อัง : จ๊ะหญิงสาวตอบกลับไปสั้นๆ แต่หัวใจก็เฝ้ารอคำพูดจากชายหนุ่มที่จะเอ่ยกับหล่อน มีเพียงเสียงของความเงียบเท่านั้นที่ดังอยู่ในตอนนี้ ชายหนุ่มเดินผ่านเธอไปยังอีกมุมหนึ่งของโต๊ะ ไม่มีคำทักทาย ไม่แม้แต่จะหันมองหน้า นทีคงลืมเราแล้วจริงๆ อวัศยาคิดขณะมองชายหนุ่มเดินผ่านไปด้วยสายตาแห่งความข่มขื่น

            ยศ : กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่เห็นโทรมาฉันบ้างเลย

            นที : กลับมาได้สองเดือนแล้ว พอกลับมาก็มีเรื่องยุ่งๆ ที่ปางก็เลยไม่ได้โทรหาใคร โทษทีว่ะเพื่อน

            ต้น : เฮ้ย! ไม่เป็นไรนะ นายมาวันนี้ได้ก็ดีแล้ว นี่พวกเรายังคิดว่านายจะมาหรือเปล่าแต่พอเห็นหน้านายแล้วก็ดีใจว่ะ

            นที : ทีแรกก็เกือบจะมาไม่ได้ เจ้าสองแสบนะสิโยเยจะมาด้วยให้ได้กว่าจะพูดให้ยอมหยุด เหนื่อยแทบตาย

            ต้น : เฮ้ย! นายมีลูกแล้วเหรอเพื่อน

            นที : อืม...สองคนผู้ชายฝาแฝด

            ยศ : แล้วทำไมไม่พามางานด้วยเลยล่ะ ฉันอยากเห็นตัวจริงคราวก่อนที่อเมริกาเห็นแต่ในรูปไม่ได้เจอตัวจริง

            นที : ปู่กับย่าเขาไม่ยอม นี่หวงหลานยังกะอะไรดีไม่ยอมให้มาด้วยง่ายๆ หรอก

            ยศ : คนแก่ก็อย่างนี้แหละ เห่อหลานเป็นธรรมดา

            ต้น : แล้วแม่ของเด็กใครว่ะ...ใช่คนที่แกเคยมีข่าวด้วยตอนนั้นหรือเปล่า

            นที : เฮ้ย...! บ้า ข่าวที่ไหนว่ะ เคสเขาเป็นลูกครึ่งอังกฤษ

            ต้น : สุดยอดเลยว่ะนที ได้เมียแหม่มเสียด้วยคงจะสวยน่าดู

            ยศ : ก็ถ้าไม่สวยไอ้ทีมันจะยอมสละโสดง่ายๆ เหรอ 

เสียงของโต๊ะข้างๆ ดังข้ามมาถึงโต๊ะของหญิงสาวที่นั่งอยู่ อวัศยาได้แต่นิ่งเงียบฟังเพื่อนแต่ละคนพูดคุยกัน ทุกคนมีความสุขที่ได้กลับมาเจอกันในวันนี้ คงมีเพียงแค่เธอคนเดียวเท่านั้นที่มีความทุกข์ แต่ในความทุกข์ก็ยังมีความดีใจอยู่ส่วนหนึ่ง เพราะอย่างน้อยๆ เธอก็ได้เห็นชายหนุ่มที่อยู่ในความทรงจำของเธอในวันนี้

            ริน : อัง...เงียบเชียว งานไม่สนุกเหรอ

            อัง : เปล่าหรอกริน เราแค่รู้สึกว่าตัวเองคิดผิด

            ริน : คิดผิด อังหมายความว่ายังไง

            อัง : คิดว่าไม่น่ามางานวันนี้เลย

            ริน : ทำไมล่ะ อ๋อเราพอจะรู้แล้ว นรินเหลียวหลังไปมองกลุ่มของชายหนุ่มที่คุยกันหัวเราะเสียงดังอยู่ตอนนี้

            อัง : ไม่ใช่ว่าเราไม่ดีใจนะ แต่บางครั้งความจริงมันก็ทำให้เราเจ็บปวด

            ริน : เวลาเปลี่ยนคนเราก็ย่อมเปลี่ยนไปตามเวลา อังก็อย่าคิดมากเลย

            อัง : นั่นนะสินะ เราเป็นคนทำให้เรื่องมันเป็นแบบนี้จะโทษใครได้ล่ะ แต่ยังไงก็ขอบใจรินนะ

            ริน : ขอบใจอะไรกัน อย่าลืมสิว่าเราเป็นเพื่อนกันนะ อย่ามัวแต่ทำหน้าเศร้าอยู่เลยมีความสุขกับปัจจุบันดีกว่า ปล่อยให้อดีตมันผ่านไปพร้อมกับความทรงจำทีดีๆ เถอะนะ อังจะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่เสียที

            อัง : เริ่มต้นใหม่อย่างนั้นเหรอ อวัศยาทวนคำเพื่อนสาว "จริงสินะ"  ดวงตากลมโตไหวระริกเมื่อนึกถึงบางสิ่งบางอย่างริน...เราขอตัวก่อนนะ พูดจบหญิงสาวก็ลุกเดินออกไปจากโต๊ะ

            ริน : นั่นอังจะไปไหนเหรอ นรินเอ่ยถามหญิงสาวที่เพิ่งลุกจากโต๊ะ

            อัง : เรามีเรื่องหนึ่งที่ต้องทำนิดหน่อย พูดจบหญิงสาวก็เดินออกไปโดยไม่ทันสังเกตว่ามีสายตาของใครบางคนเหลียวมองตามหลังไปไม่ยอมละสายตา


อวัศยาเดินลิ่วตรงไปยังสนามกีฬาลานกว้าง ในตอนนี้ความมืดของท้องฟ้าในยามคำคืนทำให้มองเห็นแค่แสงสลัวของหลอดไฟที่ติดอยู่ตามเสาภายในสนามเท่านั้น ร่างบางเดินลัดเลาะผ่านแสงสลัวของหลอดไฟไปตามทางเดินเรื่อยมาจนถึงต้นไม้ใหญ่ หญิงสาวหยุดยืนแหงนมองต้นไม้ใหญ่ที่ตนได้พบชายหนุ่มครั้งแรก ในเมื่อทุกอย่างมันเริ่มต้นจากตรงนี้มันก็ควรจบลงตรงนี้ด้วยเช่นกัน ความรัก ความผูกพันธุ์ เส้นใยที่โยงเธอและเขาให้ได้มาพบกัน หากว่าชะตาฟ้าลิขิตให้มันต้องจบแบบนี้จริงๆ เธอก็จะไม่ขออะไรมากไปกว่า โอกาส ครั้งสุดท้าย ที่จะได้กล่าวคำ อำลา กับชายหนุ่ม 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น