ริน :
ในที่สุดก็สอบเสร็จซะที วันสุดท้ายของการใส่ชุดนักเรียน เทอมหน้าเราจะได้ใส่ชุดนักศึกษาแล้ว
กุ้ง : แหม่! ไม่เห่อเลยเนาะ ว่าที่บัณฑิตอักษรศาสตร์
ริน : ก็คนมันดีใจนิหรือเธอไม่ดีใจ
กุ้ง : พูดไม่ออกเลยล่ะ
ที่จริงความรู้สึกตอนนี้มันยากที่จะบรรยายออกมาเป็นคำพูด แล้วอังล่ะเงียบเชียว คนพูดหันไปถามเพื่อนอีกคนที่นั่งนิ่งไม่ยอมพูดยอมจาตั้งแต่ออกจากห้องสอบ
อัง : เหมือนเธอสองคนนั่นแหละ
ไม่มีคำบรรยายในตอนนี้
ริน : พอคิดว่าจะไม่ได้เจอหน้ากันเหมือนทุกวัน
มันก็ใจหายยังไงไม่รู้นะ
กุ้ง : สัญญานะว่าจะติดต่อกันตลอด
ไม่ว่ายังไงจะไม่เงียบไป
ริน : อืม…สัญญา อังล่ะ...
อัง : สัญญาเหมือนกัน
กุ้ง : พวกเราจะเป็นเพื่อนกันตลอดไปใช่มั้ย
คนพูดน้ำเสียงเริ่มเศร้าบวกความไม่แน่ใจในคำตอบที่จะได้รับ
อัง : แน่นอนอยู่แล้ว
โชคชะตาให้เรามาเจอกันเป็นเพื่อนกัน ถึงแม้จะอยู่ห่างกันแค่ไหนแต่ความเป็นเพื่อนเราจะยังคงอยู่
ไม่มีอะไรมาตัดสายใยนี้ไปได้หรอก
ริน : อังพูดถูก
ไม่มีอาวุธชนิดไหนมาทำลายความสัมพันธ์ของเราได้ เราจากกันวันนี้เพื่อจะได้เจอกันอีกในวันหน้า
เพราะฉะนั้นอย่าเศร้าใจไปเลย
กุ้ง : อังได้คุยกับนทีบ้างหรือยัง
ตั้งแต่มีข่าวเราไม่ค่อยได้คุยกับนทีเลย
ริน : เราก็เหมือนกัน
ได้ข่าวว่าจะไปเรียนต่ออเมริกามันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า
อัง : เราก็ไม่ได้คุย
เขาคงจะยุ่งๆ ล่ะมั้งช่วงนี้ ส่วนเรื่องเรียนต่อเราก็ได้ข่าวเหมือนกัน
กุ้ง : อังน่าจะลองคุยกับนทีดูนะ
บางทีเรื่องมันอาจไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดก็ได้
อัง : อย่าเลยดีกว่าให้มันเป็นแบบนี้แหละดีแล้ว
ริน : อังแน่ใจเหรอว่าอยากให้มันจบแบบนี้
ในเมื่อทั้งสองฝ่ายยังมีเรื่องคาใจกันอยู่
อัง : เราก็ไม่ได้มีเรื่องคาใจอะไรนิ
ก็รู้ๆ อยู่แล้วว่าเราไม่ได้รู้สึกอะไรกับนที
ถึงแม้ปากจะบอกออกไปแบบนี้แต่ในใจกลับร้อนรุ่ม เหมือนมีใครเอาน้ำมันมาราดและจุดไฟเผา ซึ่งใครคนที่ว่านั้นก็ไม่ใช่คนอื่นที่ไหน นอกจากตัวเธอเอง
ถึงแม้ปากจะบอกออกไปแบบนี้แต่ในใจกลับร้อนรุ่ม เหมือนมีใครเอาน้ำมันมาราดและจุดไฟเผา ซึ่งใครคนที่ว่านั้นก็ไม่ใช่คนอื่นที่ไหน นอกจากตัวเธอเอง
นที : ขอบใจนะอัง
ที่บอกความรู้สึกของอังให้เราได้รู้
เสียงของชายหนุ่มทำให้หัวใจของหญิงสาวกระตุกวูบ
ใบหน้าซีดเผือดลงทันที เธอไม่รู้ว่าชายหนุ่มมายืนอยู่ด้านหลังตั้งแต่เมื่อไหร่
เพื่อนสาวทั้งสองคนของเธอก็มีสีหน้าตกใจไม่แพ้กัน อวัศยาไม่กล้าแม้แต่จะหันหน้ามามองหน้าเจ้าของน้ำเสียงทุ่ม คำพูดที่เธอเอ่ยออกไปเมื่อสักครู่เขาคงได้ยินมันหมดแล้ว
และเขาก็คงจะเชื่อในประโยคเหล่านั้น คำพูดที่เธอเป็นคนพูดออกมาจากปาก
แต่เขาคงไม่รู้ว่ามันไม่ได้ออกมาจากใจเธอเลยสักนิด
นที : อังพูดความในใจแล้วต่อไปฟังเราบ้างนะ
อังไม่จำเป็นต้องตอบแค่ฟังเราพูดก็พอ ชายหนุ่มเว้นวรรคเล็กน้อยก่อนจะพูดประโยคต่อไป
ตลอดเวลา 3 ปี
อังคือผู้หญิงคนเดียวที่เรามองหา ทุกครั้งที่เห็นหน้าอัง
มันทำให้เราอยากออกไปค้นหาความหมายของคำว่ารัก เวลาที่อังยิ้มมันทำให้เรามองเห็นความอบอุ่น จนอยากเข้าไปยืนอยู่ใกล้ๆ เสียงหัวเราะของอังทำให้เรานึกถึงบทเพลงที่กำลังขับขาน
ที่เราเคยบอกว่าอังคือแรงบันดาลใจ เราพูดจริงนะ อังคือผู้หญิงคนเดียวที่เรามองเฝ้ามองหาและอยากเจอทุกเช้า
ความสุขของเราคือการได้เห็นหน้าอัง
แต่เวลามันผ่านไปเร็วนัก 3 ปี แห่งความสุขมันช่างสั้น เรายังตั้งตัวไม่ทันกับการเปลี่ยนแปลง
ชีวิตที่ไม่มีอังไม่ได้เห็นหน้า ไม่ได้เจอรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ต่อไปเราคงไม่ได้เห็นความรัก
ความอบอุ่น และเพลงที่เราชอบฟังอีกแล้ว แต่สำหรับอังการไม่ได้เจอหน้าเรามันคงเป็นเรื่องที่ดี
คนฟังถึงกับสะอื้นกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
น้ำตาแห่งความปลื้มปิติ ดีใจ เสียใจ และผิวหวังต่างไหลรวมเป็นหยดเดียว เธอไม่รู้ว่าจะต้องกล่าวคำใดออกไป เพื่อให้สมกับความรู้สึกที่เธออยากจะบอกเขา
ตลอดเวลาเธอเองก็ไม่ต่างจากเขาเลย ในทุกเช้าการได้เห็นหน้าเขานั้นคือของขวัญที่มีค่า รอยยิ้มของเขาคือสิ่งลบเลือนเรื่องร้ายๆ ที่เกิดขึ้น
น้ำเสียงเขาคือความอบอุ่นที่เธอคอยเฝ้ามองหา เสียหัวเราะของเขาคือยาที่สมานใจเธอ
นที : ต่อไปนี้เราคงจะไม่ได้เจอกันอีก
ยังไงเราก็ขออวยพรให้อังโชคดี
จากกันวันนี้ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้เจอกันอีกหรือเปล่า
จากนี้ไปไม่มีเราแล้วอังคงไม่ต้องบ่นและรำคาญเสียงของเราอีก
อัง : นที… หญิงสาวเรียกชื่อชายหนุ่มแผ่วเบา อัง…อัง…
นที : อังรู้แล้วใช่มั้ยว่าเราจะไปอเมริกา
เราจะไปเรียนต่อที่โน่น หญิงสาวพยักหน้าเป็นคำตอบ
นที:
เราจะเดินทางไปพร้อมกับหนูดาว
เหมือนทุกอย่างหยุดหมุนหัวใจของหญิงสาวแหลกสลาย
จบแล้วสินะ ไม่เหลืออะไรแล้ว เขาไปจากเธอแล้วจริงๆ
ชายหนุ่มเดินจากไปพร้อมกับหัวใจของอีกดวงที่แหลกสลาย ท้องฟ้าที่ไม่มีเค้าว่าฝนจะตก
ตอนนี้กลับมีหยาดฝนลงมาประปราย หญิงสาวยังคงนั่งอยู่ที่เดิม
ร้องไห้ไปพร้อมกับสายฝน จะอีกนานมั้ย กว่าความเจ็บปวดครั้งนี้จะลบเลือน และอีกนานเท่าไหร่เธอถึงจะได้ยินเสียงแห่งความอบอุ่นจากเขาอีกครั้ง หรือว่าบางทีมันอาจไม่มีวันนั้น วันที่เธอและเขาจะได้กลับมาพบกันอีกครั้ง
กุ้ง : อัง…! เสีงเรียกที่คุ้นหูฉุดหญิงสาวให้หลุดจากภวังค์ของความคิด
อวัศยาหันไปมองตามเสียงเรียก ซึ่งอยู่อีกฝั่งของคลอง นรินยืนโบกมือกวัดแกว่งให้กับหญิงสาวอีกฟากของฝั่งคลอง
ริน : ทางนี้
…ไปยืนทำไมอยู่ต้นโน้น ต้นนี้ต่างหาก นรินร้องบอกเพื่อนสาวพร้อมกับชี้นิ้วไปที่ต้นไม้ที่อยู่ด้านหลัง
อวัศยาพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ก่อนจะเดินมาหยุดอยู่ที่ต้นหูกวาง
ที่ตอนนี้เริ่มจะอายุมากแล้ว มือบางยื่นออกไปจับที่ลำต้นแล้วลูบเบาๆ เวลาสิบปีช่างผ่านไปอย่างทรมานยิ่งนัก
หญิงสาวไม่คิดว่าตนจะได้กลับมายืนใต้ต้นไม้นี้อีกครั้ง หากเพื่อนทุกคนมากันครบนั่นก็หมายความว่า
เธอจะได้พบกับเขาด้วยเช่นกัน
ริน : ทำไมถึงได้ไปยืนอยู่ฝั่งนั้น
พวกเรานัดกันฝั่งนี้ไม่ใช่เหรอ
อัง : แต่ต้นหูกวางต้นนั้นเป็นที่ประจำเรานะ
พวกเราไปนอนบ่อยๆ จำไม่ได้เหรอ
ริน : จำได้
แต่รินกับกุ้งนัดกันฝั่งนี้ กุ้งไม่ได้บอกอังเหรอว่าเป็นฝั่งตรงข้าม
อัง : เปล่า… ยายกุ้งบอกแค่ว่าใต้ต้นหูกวาง
ริน : อ้าว…! ยังไงนิยายกุ้ง
กุ้ง : เออ…ฉันผิดเองที่บอกแกตกไปคำหนึ่ง ฉันไม่ได้บอกว่าฝั่งตรงข้าม
ริน : เฮ้ย…!
ฉันก็ว่ายุแล้วเชียว แกนิมันจริงๆ เลย ฉันไม่รู้จะสรรหาคำอะไรมาว่าแกแล้ว
อัง : พอเถอะๆ
อย่าทะเลาะกันเลย พวกเราไม่ได้มาเพื่อทะเลาะกันนะ
กุ้ง :
จริงด้วย เราเข้าไปในงานกันเถอะ ป่านนี้คนอื่นคงมากันเต็มงานแล้วมั้ง
ริน : นี่...
บอกตามตรงนะฉันอดตื่นเต้นไม่หายที่จะได้เจอเพื่อนๆ เมื่ออาทิตย์ที่แล้วฉันโทรนัดยายนุชจรีและก็กลุ่มของแพรวาด้วย
ไม่ได้เจอกันตั้ง 10 ปี ไม่รู้ป่านนี้ทุกคนจะเป็นยังไงกันบ้าง
หน้าตาจะยังเหมือนตอนเป็นเด็กมัธยมหรือเปล่าก็ไม่รู้เนอะ
กุ้ง : ฉันก็เหมือนกัน
ตื่นเต้นจนขาสั่น ใจสั่น ไปทั้งตัวแล้ว
ริน : ไม่รู้ว่าห้องเราจะมาครบทุกคนรึเปล่า
กุ้ง :
นั่นนะสิ หวังว่าคงจะครบนะ นรินและกัลยามองหน้ากันแววตามีความตื่นเต้นระคนดีใจ
ทั้งสองสาวรู้ดีว่าหากเพื่อนมากันครบนั้นก็หมายความถึงใครบางคนด้วยเช่นกัน
และนั่นยิ่งทำให้อวัศยารู้สึกถึงหัวใจที่เริ่มจะเต้นแรงขึ้นมาเรื่อยๆ
หญิงสาวต้องพยายามข่มความรู้สึกตื่นเต้นเอาไว้ เพื่อไม่ให้หัวใจของเธอออกมาโลดเล่นอยู่ด้านนอก
บรรยากาศภายในงานเลี้ยงรุ่นเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ
ภายในงานถูกประดับประดาไปด้วยสีสันสดใส ดอกไม้ ต้นไม้ ธงสีประจำโรงเรียน ครู
อาจารย์ต่างพากันยิ้มแย้มพูดคุยกับลูกศิษย์ของตน ใครเป็นใครบ้างนั้นยากที่จะจำได้
เวลาเปลี่ยนทุกคนก็เปลี่ยนไปตามเวลา แต่มีสิ่งหนึ่งที่เหล่าลูกศิษย์ไม่เคยลืมเลือนไปเลย
นั่นก็คือ คำสอนของครูอาจารย์ทุกท่านที่พร่ำสอน
จนทำให้ชีวิตของพวกเขามีวันที่ดีในวันนี้
แก้ว : อัง
ริน กุ้ง พวกเธอมากันแล้วเหรอ แก้วอดีตหัวหน้าห้องของสามสาวเอ่ยทักขึ้นเมื่อทั้งสามเดินเข้ามาในงาน
ริน : ใช่จ๊ะ
พวกเราเพิ่งมาถึงแล้วแก้วมานานหรือยัง
แก้ว : สักพักแล้วล่ะจ๊ะ
นี่ห้องเรารวมกลุ่มอยู่ทางโน้น ตามฉันมาสิ
กุ้ง : แล้วห้องเรามากันครบมั้ย
แก้ว : อืม
… ยังไม่ครบนะ ขาดอยู่หลายคนเหมือนกัน
แต่ไม่แน่บางคนอาจยังมาไม่ถึงก็ได้
ริน : เหรอ
… แล้ว…ยังไม่ทันที่นรินจะได้ถามต่อเสียงของแก้วก็เอ่ยขัดขึ้น
แก้ว : นี่ทุกคน
เพื่อนเรามาเพิ่มอีกแล้ว อัง ริน และก็กุ้งแห้ง
หญิงสาวทั้งสามมองหน้าเพื่อนที่นั่งอยู่รอบโต๊ะ
บ้างก็ยืนจับกลุ่มคุยกัน ทุกคนต่างหันมามองและยิ้มให้กับคนทั้งสาม
เพื่อนสาวหลายคนเดินเข้ามากอด เสียงหัวเราะและรอยยิ้มของวันเก่าๆ
ได้กลับมาปรากฏในสายตาของอวัศยาอีกครั้ง เธอยังจำความรู้สึกแบบนี้ได้ดีไม่เคยลืม
นรินและกัลยาต่างพากันแวบไปคุยตรงโน้นทีตรงนี้ที จนบางทีก็เหมือนคนทั้งคู่หายตัวได้แต่ก็นั่นแหละมันเป็นเอกลัษณ์ของพวกเธออยู่แล้ว
แพร : นี่อัง
เราเสียใจเรื่องคุณพ่อเธอด้วยนะ
อัง : จ๊ะ...เราทำใจได้แล้วล่ะ
แพร :
แล้วอังได้ข่าวนทีบ้างไหม
อัง : อังไม่ได้ติดต่อนทีเลยตั้งแต่เรียนจบ
แล้ว...แพรได้ข่าวนทีบ้างหรือเปล่า
แพร : เห็นว่าอยู่อเมริกา
เดือนที่แล้วยศบินไปยังได้พบเลย
อัง : จริงเหรอ
แพร : จ๊ะ...ได้ยินว่าจะกลับมาเมืองไทยแล้ว
แต่ไม่รู้ว่าจะมางานด้วยหรือเปล่านะ
นทีเขาไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ตอนนี้เขากลายเป็นคุณพ่อเต็มตัวเลยทีเดียวล่ะ ใบหน้าของคนฟังซีดเผือดลงทันที
คุณพ่ออย่างนั้นเหรอ อวัศยาทวนคำแพรวาเบาๆ ในลำคอ
แพร :
ก็อย่างว่าแหละนะ สิบปีที่จากกันอะไรๆ มันก็เปลี่ยนแปลงไปหมด
ขนาดคนที่อยู่กับเราตลอดเวลา คนที่บอกว่ารักเราจริงๆ เขายังเปลี่ยนไปเลย นับประสาอะไรกับคนที่อยู่ไกลแถมไม่ได้ติดต่อกันด้วย
หญิงสาวพูดแล้วก็หันไปมองเพื่อนชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่อีกฝั่งของมุมโต๊ะ
อัง : ก็จริงอย่างที่แพรวาพูด
เวลามันเป็นตัวแปรสำคัญสำหรับชีวิต
เพราะเวลาเปลี่ยนไปทุกนาทีแล้วนับประสาอะไรกับใจของคนเรา
มันเป็นความผิดพลาดของเธอเองในครั้งนั้นที่ทำให้เรื่องเป็นแบบนี้ เธอเลือกที่จะสูญเสียเขาไปจะโทษใครได้ นอกจากโทษตัวเองและหากเธอจะต้องเจ็บปวด มันก็เป็นความเจ็บปวดที่เธอเลือกจะให้มันเกิดขึ้น หญิงสาวนิ่งคิดถึงความจริงในข้อนี้
มันเป็นความผิดพลาดของเธอเองในครั้งนั้นที่ทำให้เรื่องเป็นแบบนี้ เธอเลือกที่จะสูญเสียเขาไปจะโทษใครได้ นอกจากโทษตัวเองและหากเธอจะต้องเจ็บปวด มันก็เป็นความเจ็บปวดที่เธอเลือกจะให้มันเกิดขึ้น หญิงสาวนิ่งคิดถึงความจริงในข้อนี้
แพร :
อัง...คิดอะไรอยู่เหรอ เงียบเชียว แพรวาพูดพร้อมกับเอื้อมมือไปจับแขนอวัศยาเบาๆ
อัง :
อ๋อ...เราคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยนะ ไม่มีอะไรหรอก
แพร :
เรานึกว่าอังมีเรื่องอะไรที่ไม่สบายใจ เราเห็นสีหน้าและแววตาอังเศร้าๆ
เราพูดอะไรให้อังไม่สบายใจหรือเปล่า
อัง : เปล่าหรอก... แค่รู้สึกคอแห้งนิดหน่อย เราขอไปเอาน้ำสักแก้วก่อนนะ หญิงสาวลุกขึ้นจากที่นั่งพร้อมกับเดินไปหยิบแก้วบนโต๊ะที่ถูกจัดวางเรียงไว้
แก้วใสใบสูงภายในมีน้ำสีแดงเข้มอยู่เกือบเต็มแก้วถูกยกขึ้นแตะริมฝีปากบางสีชมพู จิตใจที่ล่องลอยของเธอตอนนี้ กำลังขาดที่ยึดเหนี่ยวมันเคว้งคว้างอย่างไร้จุดหมาย
ยศ : เฮ้ย…! นที มาเงียบเชียว ไม่ให้ซุ่มให้เสียงบ้างเลย เมื่อได้ยินคำพูดประโยคนั้น
ร่างบางถึงกับหยุดนิ่งราวกับถูกมนต์สะกด หัวใจของหญิงสาวเต้นราวกับว่ามันกำลังจะออกมาด้านนอก
แก้วที่จรดอยู่ริมฝีปากถูกลดลงมาแทบจะทันที
นที : ก็เราไม่ใช่คนดังนิ
เลยไม่จำเป็นต้องตีฆ้องร้องป่าวอะไร
ชายหนุ่มร่างสูงตอบกลับ ผมดำเป็นมันถูกปัดให้เข้าทรง ใบหน้ายิ้มแย้มแววตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน อวัศยาหันมองใบหน้านั้นด้วยความคิดถึงและห่วงหา ชายหนุ่มยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนไปเลย ไม่ว่าจะเป็นรอยยิ้มที่คุ้นเคย แววตาที่แสนอบอุ่น ท่าทีการพูดจา เขายังคงเป็นนทีที่เธอรู้จักเมื่อสิบปีก่อน แต่ว่า…
ชายหนุ่มร่างสูงตอบกลับ ผมดำเป็นมันถูกปัดให้เข้าทรง ใบหน้ายิ้มแย้มแววตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน อวัศยาหันมองใบหน้านั้นด้วยความคิดถึงและห่วงหา ชายหนุ่มยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนไปเลย ไม่ว่าจะเป็นรอยยิ้มที่คุ้นเคย แววตาที่แสนอบอุ่น ท่าทีการพูดจา เขายังคงเป็นนทีที่เธอรู้จักเมื่อสิบปีก่อน แต่ว่า…
แพร : นทีจำเราได้มั้ย…?
เราเชื่อว่านทีจำเราไม่ได้แน่
นที :
จำได้สิ แพรวา ทำไมเราจะจำแพรไม่ได้ ต่อให้อีกสิบปีเราก็จำเพื่อนทุกคนได้
แพร : จริงเหรอ…ถ้าอย่างนั้นนทีคงจำนุชจรีได้ รัตนา ลูกศร รวมถึงอวัศยาได้ด้วยสิ คนถูกเอ่ยชื่อคนสุดท้ายสะท้านเล็กน้อย เมื่อถูกเอ่ยชื่อแบบโดยไม่ทันตั้งตัว
นที :
จำได้สิ โดยเฉพาะ… ชายหนุ่มแบนสายตามองหน้าคนตัวเล็กที่ยืนอยู่อีกมุมหนึ่งของงาน ซึ่งตอนนี้กำลังยืนตัวสั่น
จนสังเกตได้จากแก้วที่ถืออยู่ในมือไหวจนเห็นได้ชัด
นุช : โดยเฉพาะเราใช่มั้ยล่ะนที
สาวผิวสีน้ำตาลดวงตาคมเข้มเอ่ยขึ้นขัดจังหวะการพูดของชายหนุ่ม
นที :
ใช่…จะให้ลืมได้ยังไง
ในเมื่อนุชเป็นคนติวหนังสือให้เราก่อนเรียนจบ
นุช :
ก็ลองนทีจำเราไม่ได้สิ เราจะทวงค่าติวที่ติดเราไว้คราวนั้นพร้อมดอกเบี้ยคืนให้หมด
หญิงสาวพูดจบก็หัวเราะคิกๆ ให้กับชายหนุ่ม
แพร :
นี่ยายนุชอย่ามัวแต่มาขัดนทีอยู่เลย ปล่อยให้นทีเขาได้คุยกับคนอื่นบ้างเถอะ
นอกจากเธอแล้วยังมีเพื่อนอีกหลายคนที่นทีเขาอยากคุยด้วย
นุช : ตายจริง! ฉันก็ลืมไปว่าห้องเรามีสามสิบกว่าคน
เอาเลยนทีอยากคุยกับใครก็คุยเลยเราไม่ขัดล่ะ และก็ถ้าอยากคุยกับใครเป็นพิเศษบอกเราได้นะ
อ้าว! อัง ยืนเงียบเชียว ไม่เห็นทักเพื่อนบ้างเลย แหม่! เราน้อยใจนะนิ นุชจรีร้องทักหญิงสาวที่ยืนนิ่งอยู่อีกฟาก พร้อมกับก้าวเท้าเข้าไปหาหญิงสาว
อัง :
ก็ว่าจะทักเหมือนกัน แต่เราเห็นนุชยุ่งอยู่กับการทักเพื่อนคนอื่นๆ เราก็เลยรอก่อน
นุช :
แหม่! ทักเราเลยก็ได้ อ๋อ…เราเสียใจเรื่องคุณพ่ออังด้วยนะ
เสียดายเราบินกลับมาช้าไปหน่อยเลยไม่ทันได้ไปร่วมงานท่าน
อัง :
ไม่เป็นไรหรอก เรื่องมันผ่านไปแล้วแต่ก็ขอบใจนะ
นุช :
ขอบจงขอบใจอะไรกัน เรานะเพื่อนกันถ้าเพื่อนไม่ช่วยเพื่อนแล้วใครจะช่วยล่ะ จริงมั้ย
อัง :
จ๊ะ…หญิงสาวตอบกลับไปสั้นๆ แต่หัวใจก็เฝ้ารอคำพูดจากชายหนุ่มที่จะเอ่ยกับหล่อน
มีเพียงเสียงของความเงียบเท่านั้นที่ดังอยู่ในตอนนี้
ชายหนุ่มเดินผ่านเธอไปยังอีกมุมหนึ่งของโต๊ะ ไม่มีคำทักทาย ไม่แม้แต่จะหันมองหน้า
นทีคงลืมเราแล้วจริงๆ อวัศยาคิดขณะมองชายหนุ่มเดินผ่านไปด้วยสายตาแห่งความข่มขื่น
ยศ :
กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่เห็นโทรมาฉันบ้างเลย
นที : กลับมาได้สองเดือนแล้ว
พอกลับมาก็มีเรื่องยุ่งๆ ที่ปางก็เลยไม่ได้โทรหาใคร โทษทีว่ะเพื่อน
ต้น :
เฮ้ย! ไม่เป็นไรนะ นายมาวันนี้ได้ก็ดีแล้ว
นี่พวกเรายังคิดว่านายจะมาหรือเปล่าแต่พอเห็นหน้านายแล้วก็ดีใจว่ะ
นที : ทีแรกก็เกือบจะมาไม่ได้
เจ้าสองแสบนะสิโยเยจะมาด้วยให้ได้กว่าจะพูดให้ยอมหยุด เหนื่อยแทบตาย
ต้น : เฮ้ย! นายมีลูกแล้วเหรอเพื่อน
นที : อืม...สองคนผู้ชายฝาแฝด
ยศ : แล้วทำไมไม่พามางานด้วยเลยล่ะ
ฉันอยากเห็นตัวจริงคราวก่อนที่อเมริกาเห็นแต่ในรูปไม่ได้เจอตัวจริง
นที : ปู่กับย่าเขาไม่ยอม นี่หวงหลานยังกะอะไรดีไม่ยอมให้มาด้วยง่ายๆ หรอก
ยศ :
คนแก่ก็อย่างนี้แหละ เห่อหลานเป็นธรรมดา
ต้น : แล้วแม่ของเด็กใครว่ะ...ใช่คนที่แกเคยมีข่าวด้วยตอนนั้นหรือเปล่า
นที : เฮ้ย...! บ้า ข่าวที่ไหนว่ะ เคสเขาเป็นลูกครึ่งอังกฤษ
ต้น : สุดยอดเลยว่ะนที
ได้เมียแหม่มเสียด้วยคงจะสวยน่าดู
ยศ : ก็ถ้าไม่สวยไอ้ทีมันจะยอมสละโสดง่ายๆ
เหรอ
เสียงของโต๊ะข้างๆ ดังข้ามมาถึงโต๊ะของหญิงสาวที่นั่งอยู่ อวัศยาได้แต่นิ่งเงียบฟังเพื่อนแต่ละคนพูดคุยกัน ทุกคนมีความสุขที่ได้กลับมาเจอกันในวันนี้ คงมีเพียงแค่เธอคนเดียวเท่านั้นที่มีความทุกข์ แต่ในความทุกข์ก็ยังมีความดีใจอยู่ส่วนหนึ่ง เพราะอย่างน้อยๆ เธอก็ได้เห็นชายหนุ่มที่อยู่ในความทรงจำของเธอในวันนี้
เสียงของโต๊ะข้างๆ ดังข้ามมาถึงโต๊ะของหญิงสาวที่นั่งอยู่ อวัศยาได้แต่นิ่งเงียบฟังเพื่อนแต่ละคนพูดคุยกัน ทุกคนมีความสุขที่ได้กลับมาเจอกันในวันนี้ คงมีเพียงแค่เธอคนเดียวเท่านั้นที่มีความทุกข์ แต่ในความทุกข์ก็ยังมีความดีใจอยู่ส่วนหนึ่ง เพราะอย่างน้อยๆ เธอก็ได้เห็นชายหนุ่มที่อยู่ในความทรงจำของเธอในวันนี้
ริน : อัง...เงียบเชียว
งานไม่สนุกเหรอ
อัง : เปล่าหรอกริน
เราแค่รู้สึกว่าตัวเองคิดผิด
ริน : คิดผิด
อังหมายความว่ายังไง
อัง : คิดว่าไม่น่ามางานวันนี้เลย
ริน : ทำไมล่ะ
อ๋อ…เราพอจะรู้แล้ว
นรินเหลียวหลังไปมองกลุ่มของชายหนุ่มที่คุยกันหัวเราะเสียงดังอยู่ตอนนี้
อัง : ไม่ใช่ว่าเราไม่ดีใจนะ
แต่บางครั้งความจริงมันก็ทำให้เราเจ็บปวด
ริน : เวลาเปลี่ยนคนเราก็ย่อมเปลี่ยนไปตามเวลา
อังก็อย่าคิดมากเลย
อัง : นั่นนะสินะ
เราเป็นคนทำให้เรื่องมันเป็นแบบนี้จะโทษใครได้ล่ะ แต่ยังไงก็ขอบใจรินนะ
ริน : ขอบใจอะไรกัน
อย่าลืมสิว่าเราเป็นเพื่อนกันนะ
อย่ามัวแต่ทำหน้าเศร้าอยู่เลยมีความสุขกับปัจจุบันดีกว่า
ปล่อยให้อดีตมันผ่านไปพร้อมกับความทรงจำทีดีๆ เถอะนะ
อังจะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่เสียที
อัง :
เริ่มต้นใหม่อย่างนั้นเหรอ อวัศยาทวนคำเพื่อนสาว "จริงสินะ" ดวงตากลมโตไหวระริกเมื่อนึกถึงบางสิ่งบางอย่าง
“ ริน...เราขอตัวก่อนนะ” พูดจบหญิงสาวก็ลุกเดินออกไปจากโต๊ะ
ริน : นั่นอังจะไปไหนเหรอ
นรินเอ่ยถามหญิงสาวที่เพิ่งลุกจากโต๊ะ
อัง : เรามีเรื่องหนึ่งที่ต้องทำนิดหน่อย พูดจบหญิงสาวก็เดินออกไปโดยไม่ทันสังเกตว่ามีสายตาของใครบางคนเหลียวมองตามหลังไปไม่ยอมละสายตา
อวัศยาเดินลิ่วตรงไปยังสนามกีฬาลานกว้าง
ในตอนนี้ความมืดของท้องฟ้าในยามคำคืนทำให้มองเห็นแค่แสงสลัวของหลอดไฟที่ติดอยู่ตามเสาภายในสนามเท่านั้น
ร่างบางเดินลัดเลาะผ่านแสงสลัวของหลอดไฟไปตามทางเดินเรื่อยมาจนถึงต้นไม้ใหญ่ หญิงสาวหยุดยืนแหงนมองต้นไม้ใหญ่ที่ตนได้พบชายหนุ่มครั้งแรก
ในเมื่อทุกอย่างมันเริ่มต้นจากตรงนี้มันก็ควรจบลงตรงนี้ด้วยเช่นกัน ความรัก
ความผูกพันธุ์ เส้นใยที่โยงเธอและเขาให้ได้มาพบกัน
หากว่าชะตาฟ้าลิขิตให้มันต้องจบแบบนี้จริงๆ เธอก็จะไม่ขออะไรมากไปกว่า โอกาส ครั้งสุดท้าย
ที่จะได้กล่าวคำ อำลา กับชายหนุ่ม
โปรดติดตามตอนต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น